Wednesday, May 13, 2009

เจนนิเฟอร์ คิ้ม ยันไม่ได้แซว เจ๊จิ๊ก เป็นกะ_รี่ บอก แค่แซวทั่วไป

“เจนนิเฟอร์ คิ้ม” ยันไม่ได้แซว “เจ๊จิ๊ก” เป็นกะ_รี่ บอก แค่แซวทั่วไปไม่ได้ระบุว่าเป็นใคร ย้ำ ตนรู้จักกาลเทศะพอ ฝากขอโทษผ่านสื่อ แต่ปฏิเสธที่จะเคลียร์ส่วนตัว คิดเองว่าแค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ออกปากอยากให้เรื่องจบตรงนี้โดยเร็ว พร้อมเปรย ตนก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่ทำผิดพลาดกันได้ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ ฟุ้ง เรื่องนี้ไม่มีผลอะไรกับชีวิต เพราะแคร์คนที่ฟังเพลงตนมากกว่า ก่อนเผย ต่อไปนี้จะระวังคนมากกว่าระวังคำพูด

หลังจากหลบหน้าเลี่ยงที่จะให้สัมภาษณ์อยู่นาน ล่าสุด “เจนนิเฟอร์ คิ้ม” ก็ออกมาเปิดใจถึงกรณีที่ “จิ๊ก เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์” ออกมาฉะผ่านสื่อ ว่าโดนสาวคิ้มแซวว่าเป็นกะ_รี่ กลางผับ ทั้งที่ไม่ได้มีความสนิทสนมกันพอที่จะเล่นกันได้แรงขนาดนั้น

วันนี้เจ้าตัวก็เลยเปิดปากเคลียร์หมดเปลือกกลางงาน “COTTON USA presents ELLE Fashionista Boy & Girls Contest” ที่โรงแรงโนโวเทล สยามสแควร์ โดยยืนยันว่าไม่ได้ว่าเจ๊จิ๊ก แจง สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของโชว์ที่ไม่ได้พูดเจาะจงใคร ซึ่งค้านกับคำให้สัมภาษณ์ทั้งของเจ๊จิ๊ก และเจ้าของร้าน FAKE CLUB ร้านที่เกิดเรื่องอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากเจ้าของร้าน ยืนยันว่า สาวคิ้มเอ่ยชื่อเจ๊จิ๊กเลยด้วยซ้ำ

“ต้องเรียนให้ทราบก่อนนะคะ ว่า ในวันนั้นคิ้มได้ไปงานๆ นึงนะคะ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ได้เป็นงานวีไอพีหรืองานที่บางคน บางคนนะคะ บอกว่าเป็นงานไฮโซหรือว่าหรือว่าเอ็กซ์คูซีฟใดๆ ทั้งนั้น เป็นงานฉลองครบรอบเปิดร้านอะไรสักอย่างนึง ซึ่งย่านนั้นเป็นย่าน อ.ต.ก. ทีนี้ย่าน อ.ต.ก. จะเป็นย่านของผับบาร์เกย์ หรือเรียกว่าเพศที่สาม เป็นผับของเพศที่สามนะคะ ซึ่งแต่ละร้านเป็นร้านเล็กๆ แล้วก็ติดริมฟุตบาท แล้วก็ค่อนข้างที่จะเซ็งแซ่กันทุกร้าน เสียงดังกันไปหมดทุกร้าน ข้างหน้ามีร้านขายลูกชิ้น ร้านขายปลาหมึกจอดเรียงกัน ก็ไม่รู้ว่ามันวีไอพีตรงไหน และแขกส่วนใหญ่ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์เข้าไปในร้านหมดแล้ว”

“มันจะมีเวทีอยู่ 2 เวที เวทีด้านนอกก็จะเป็นเวทีซึ่งเขาจะให้เราคุยนิดๆ หน่อยๆ ร้องเกลิ่นนำแล้วค่อยเข้าไปข้างใน เหมือนกับอยากได้ภาพข้างหน้าก่อน แล้วค่อยเดินเข้าไปข้างใน ทีนี้ไอ้ด้านข้างหน้าลูกค้าที่นั่งอยู่ก็จะเป็นลูกค้าที่กำลังจะกลับแล้ว เพราะเราร้องตอนนั้นเกือบเที่ยงคืนแล้วค่ะ ห้าทุ่มกว่า ทางร้านบอกว่าช่วยงานหน่อย ไปช่วยงานหน่อย เราก็ไปนะคะ”

“และพอข้างหน้าคนบางคนที่จะกลับบ้านแล้ว หรือผู้ใหญ่บางคนที่มาที่นี่ประจำแล้ว ไม่อยากจะนั่งเบียดๆ กัน ไม่อยากจะเข้าไปเบียดๆ กันข้างใน ทีนี้เวลาที่คุยอะไรไปวันนั้นเลยนะคะ ไม่ได้ดื่มเลยนอกจากน้ำเปล่า ไม่ได้ดื่มอะไรเลยทั้งวัน วันนั้นจึงไม่ได้เมานะคะ แล้วก็มีสติครบถ้วน อีกเรื่องนึงก็คือว่าเวลาที่เราไปไหนสถานที่ใดสถานที่นึง เราต้องรู้ก่อนว่าตรงนั้นเป็นสถานที่แบบไหน แขกหรือลูกค้าที่มาเป็นกลุ่มเป้าหมายแบบไหน”

“เพราะฉะนั้นการเลือกใช้คำ ถ้อยคำภาษาหรือเรื่องราวต่างๆ มันจะต้องตรงไปกับกลุ่มนั้น เพราะจะทำให้เกิดการเป็นกันเอง ถ้าเราใช้ต่างภาษากัน ซึ่งไม่เคยใช้ภาษาอย่างนี้ในที่อื่น สาธารณะอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่ผับบาร์เกย์หรือบาร์สำหรับเพศที่สาม บางทีไปงานประชุมระดับนานาชาติ ใช้คำนี้ก็คงจะ หือ ผู้ใหญ่จะเข้าใจมั้ย หรือไปงานบางงานที่เจออาซิ้ม อาม่าซึ่งเป็นแบบเหมือนญาติคนจีนของเรา เราใช้คำพูดพวกนี้ผู้ใหญ่คงไม่เข้าใจนะคะ”

“ดัง นั้นกาละเทศะ มันอยู่ที่การเลือกใช้ถ้อยคำและก็เนื้อหาที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ดังนั้นเวลาที่พูดอะไรไป ถึงคนจะมองว่าเราจะดูแบบท่าทางชอบจิกกัด ชอบแซวผู้ชาย หรือชอบพูดจาทะลึ่งตลกโปกฮา มันเป็นการแสดงโชว์ของเรา แต่ไม่ใช่ชีวิตจริงของเรา คนเรามันมีสไตล์ของการโชว์ใช่มั้ยคะ เวลาที่โชว์อะไรไปเราก็สนุกสนาน และก็ใช้ถ้อยคำที่ตรงกับสถานที่นั้นๆ เวลาที่พูดอะไรออกไป คนที่มาดูส่วนใหญ่แล้วก็เป็นชาวเพศที่สาม ซึ่งเราไม่ต้องระมัดระวังคำพูดมากนัก”

ผู้สื่อข่าวยิงคำถามว่า สรุปวันนั้นได้พูดกับว่ากะ..รี่ หรือไม่? สาวคิ้มยอมรับว่าได้พูดจริง แต่เป็นเพียงแค่ถ้อยคำหนึ่งของการโชว์ ไม่ได้เจาะจงที่บุคคลใด ยัน ไม่ได้แซวเจ๊จิ๊ก เพราะเพิ่งเหลือบไปเห็นตอนจะลงจากเวทีแล้ว

“เอ่อ คืออย่างนี้นะคะ เวลาที่เราจะคุยอะไรออกไป เวลาพูดอะไรออกไปมันเป็นถ้อยคำนึงในส่วนนึงของโชว์ ดังนั้นมันจะไหลไปเปรอะใคร มันเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน แต่ไม่ได้มีเจตนาที่จะให้ไหลไปเปรอะผู้ใหญ่คนใดเลย เพราะว่าพี่จะนึกอยู่ในใจเสมอว่าลูกค้าทุกคนเป็นเพศที่สามนะ แล้วกำลังสนุกสนาน ไม่ได้โฟกัสไปที่ใครด้วยซ้ำไปค่ะ ส่วนชื่อที่พูด เราเรียกชื่อผู้ใหญ่ตั้งหลายท่าน ผ่านแบบเวลาจะทักผู้ใหญ่ เวลาเจอผู้ใหญ่ก็จะสวัสดีค่ะ พี่คนนั้นนะคะ สวัสดีค่ะ พี่คนนี้นะคะ อ้าวพี่คนนี้ก็มาด้วยสวัสดีนะคะ มันจะไม่เกี่ยวกับคำนั้น”

“เห็น ตอนจะลง(เห็นเจ๊จิ๊ก) เพิ่งเห็นตอนจะลง แต่ตอนก่อนหน้านั้นไม่ทราบ เพราะว่าเวลาขึ้นไปเราจะค่อนข้างโฟกัสว่า ว๊าย จะร้องเพลงจะเก็ทมั้ย จะพูดไปจะเก็ทมั้ย คือสมองเราจะเรียกว่าตั้งสมาธิก่อน เราจะไม่ได้โฟกัสไปที่คนดูเป็นยังไงเลย เพราะไม่งั้นจะไม่มีสติที่จะพูดอะไรค่ะ”

ยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาพาดพิงถึงใคร และวันนี้ตั้งใจมาขอโทษ แต่คงไม่ต้องเคลียร์กันอีก เพราะขอโทษผ่านสื่อไปแล้วน่าจะพอใจ

“เอา ที่เจตนา ไม่ได้มีเจตนาที่จะพาดพิงถึงใครในลักษณะที่ก้าวร้าวหรืออะไร เราคิดว่าในระบบอาวุโสของคนไทย เรายังถูกสอนตั้งแต่ที่บ้านจนมาถึงทุกวันนี้ที่ยืนอยู่ตรงนี้ ก็คิดว่าเรารู้เรื่องอย่างนี้ดีนะคะ แต่ว่าไอ้คำที่มันเวลาเล่นในสถานที่อย่างนั้น บางทีคำพูดมันอาจจะไปเปื้อน ไปไหลเลี่ยนเปรอะเป็นไปได้อยู่”

“แล้ว ก็เข้าใจว่าถ้าพี่เขา(เจ๊จิ๊ก)ไม่เคยมาที่นี่มาก่อนนะคะ อย่างน้องบางคนที่ไม่เคยเข้ามาก่อน ก็อาจจะ เฮ้ย มันมีคำอย่างนี้ด้วย พูดกันอย่างนี้ด้วย ซึ่งเราเข้าใจว่าถ้าเกิดพี่ที่ไม่เคยมาที่อย่างนี้มาก่อน จะเกิดการเข้าใจผิดได้ ซึ่งวันนี้เรามา ด้วยความที่เป็นเด็กกว่า ไม่ว่าโดยที่เราจะทำอะไรไป โดยที่ไม่เจตนาหรือเจตนาก็ตาม ถ้าทำให้ผู้ใหญ่ไม่สบายใจหรือไม่พึงพอใจอะไรขึ้นมา ความที่เราเป็นเด็ก เราคิดว่าเป็นเด็กก็ต้องขอโทษ ไม่ว่าจะถูกจะผิดยังไง เราถูกสอนมาจากที่บ้านเลย ว่าจะถูกจะผิดยังไง เขาเป็นผู้ใหญ่กว่า คุณต้องขอโทษ แล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากัน เพราะฉะนั้นก็ต้องกราบขอโทษพี่เขาด้วยนะคะ ว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะก้าวร้าวหรืออะไร มันเป็นส่วนหนึ่งของการโชว์และการแสดงเท่านั้น”

“ถ้าได้โทรคุยกันตั้งแต่ทีแรกเรื่องคงจะไม่เป็นอย่างนี้ แต่ก็ทราบพร้อมกับพวกน้องๆ ที่มีข่าวออกมาอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ แต่คิดว่าขอโทษผ่านสื่อเรียบร้อยแล้ว ก็คิดว่าอยากให้เรื่องมันจบลงเร็วๆ คือความที่เราจะได้ไปทำหน้าที่ของเราได้ตามปกติ”

“ผลกระทบ อันนี้ต้องกราบขอโทษนะคะ คนดู คนฟัง ที่ทำให้เกิดเรื่องรำคาญใจเกิดขึ้น แล้วก็ต้องกราบขอบพระคุณสำหรับคนที่ยังเป็นกำลังใจให้ แล้วก็คนที่ยังเข้าใจอยู่ เราคิดว่าคนดูคนฟังของเรา เขารู้จักตัวจริงๆ ของเรา ซึ่งค่อนข้างจะเป็นคนที่พูดจาตรงๆ แล้วก็เปิดเผย ถ้าผิดจะบอกว่าผิด ถ้าถูกก็จะแบบ เออ มันถูก เพราะมันมีเหตุผลอย่างนี้ๆ ดังนั้นเราคิดว่าคนดูคนฟังเขาจะเข้าใจน่ะค่ะ”

เผยว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนกับนักแสดงรุ่นพี่น่าจะดีเหมือนเดิม ถ้าเป็นผู้ใหญ่ปกติถ้าเด็กมาขอโทษก็น่าจะให้อภัยกัน บอกต่อไปนี้จะรังวังคนมากกว่าคำพูด

“คิดว่าน่าจะเหมือนเดิมนะคะ เพราะว่าเวลาเรา ในสังคมไทย ถ้าขอโทษ เด็กทำผิดแล้วเด็กขอโทษ ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ก็จะเอ็นดูกัน แล้วก็อย่างน้อยที่สุดมันก็ยังเป็นลูกเป็นหลานกันนะ (ใน ฐานะที่เราเป็นเด็กจะโทรไปหาเขามั้ย?) คิดว่าอยากให้เรื่องมันจบตรงนี้ค่ะ (ถ้าฝั่งพี่จิ๊กบอกว่าแค่คำขอโทษมันอาจจะไม่พอ?) อันนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่า ความจริงแล้วมันเป็นเรื่องของคนสองคน ซึ่งถ้ามันจะไม่พอหรืออะไรยังไง เราคิดว่าแล้วแต่ความต้องการมากน้อยของคนแต่ละคนนะ อันนี้เราก็คิดว่าทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ณ เวลานี้แล้ว”

“ต่อ ไปคิดว่าระวังคนมากกว่าระวังคำพูด คือว่าเราต้องดูว่าคนนี้เป็นใคร แล้วคนนั้นคนไหนเซนซิทีฟขนาดไหน เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วเวลาดูคนปุ๊บ จะรู้เลยว่าอันนี้เล่นได้ อันนั้นเล่นไม่ได้ เพราะว่าด้วยความที่เมื่อก่อนนี้ร้องเพลงกลางคืนมา โดนโขก โดนสับ โดนด่า โดนเขวี้ยงแก้วใส่สารพัด โดนไล่ออกสารพัด ทุกแบบที่เจอมามันสอนให้รู้จักว่าคนเรามีหลายระดับ คนเรามีหลายความคิด คนเราแตกต่างกัน ดังนั้นตัวเราเองไม่สามารถเอาตัวเองไปเป็นมาตรฐานที่จะวัดใครได้ว่าใครเป็น ยังไง แล้วก็เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ว่าถ้าฉันคิดอย่างนี้ฉันมีเหตุผล เราไม่ใช้เหตุผลส่วนตัว แต่จะใช้เหตุผลโดยรวม และมาตรฐานของสังคมเป็นที่ตั้งค่ะ”

“ไม่คิดว่าเป็นข่าวที่รุนแรงนะคะ เพราะว่าถ้าบอกว่าแรงที่สุด ข่าวนั้นจะต้องส่งผลกระทบต่อความเจริญก้าวหน้าและความมั่นคงของบ้านเมือง ต่อประเทศชาติของเรา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้หลายๆ คน เอ่อ คือต้องเข้าใจว่าบางคนก็จะฟังดูแล้วก็ให้เรื่องนี้ผ่านไป บางคนก็เอามาจิกมาตีมาด่า เพราะว่าเข้าใจอยู่ค่ะว่ามันเป็นการช่วยลดปมด้อย”

“บางคนเวลาเราเน้นปมด้อยของคนอื่นปั๊บเนี่ย เราจะรู้สึกลืมปมด้อยของตัวเองไปชั่วขณะ เราเป็นนักร้อง เป็นคนธรรมดา เป็นคนธรรมดาที่มีอาชีพในการร้องเพลง ซึ่งมีถูกมีผิดมีทุกอย่างในตัวเอง เราเป็นคนธรรมดาเหมือนน้องๆ ทุกคน เพียงแต่มีอาชีพร้องเพลงเท่านั้นเอง ศักดิ์และศรีเท่ากับทุกคน ดังนั้นจึงไม่คิดว่า เราไม่ได้เกิดมาจากความเพอร์เฟ็คอยู่แล้ว ไม่ได้ถูกสร้างมาอย่างไร้ที่ติอยู่แล้ว เป็นมนุษย์ที่ผิดได้ถูกได้เหมือนทุกๆ คนค่ะ”

ยืนยันคำพูดที่ว่า “กะ...รี่แก่” ไม่ได้หมายถึงใคร แต่หมายถึงคนทั่วๆ ไป
“เรา หมายถึงคนทั่วๆ ไป เวลา ณ วินาทีที่คุยนะคะ เราสื่อสารกับคนโดยส่วนใหญ่ที่อยู่ ณ ที่นั้น ซึ่งก็เป็นบาร์ของคนประเภทที่สาม ซึ่งไม่ค่อยถือสาอยู่แล้ว เราไม่สามารถเข้าไปสแกนได้ ณ เวลานั้นหรอกว่า เฮ้ย จะโดนใครหรือจะอะไร มันเหมือนกับว่าสมมติเข้าไปในที่ที่คนเล่นสาดน้ำ มันต้องโดนนิดโดนหน่อยกันบ้าง ต้องเข้าใจเลยแหละค่ะ เพราะเข้าไปในที่อย่างนั้นมันสนุกมากๆ แต่มันมีข้อแม้นิดนึง คุณต้องจิตแข็งนิดนึง”

“จริงๆ เห็นตอนแว๊บนึง ตอนที่เขาจะดึงเข้าไปอยู่ข้างในน่ะค่ะ เป็นแว๊บหลังจากที่จะขึ้นไปร้องเพลง แต่จริงๆ ตรงนั้นไม่ได้เป็นสาระสำคัญ สาระสำคัญคือว่าโดยที่ไม่ได้เจตนา แล้วพี่เขาก็ไม่พอใจ ก็ได้ขอโทษไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเรื่องมันก็เกิดมานานแล้วประมาณ 2 เดือน 25 มีนาคม”

ออกตัวแทนเจ๊จิ๊ก ว่าไม่ใช่ฝ่ายนั้นสร้างกระแสให้เกิดข่าวนี้แน่ เพราะดูจากนิสัยแล้วเป็นคนที่น่ารักและเปิดเผย
“อ๋อ ไม่คิดน่ะค่ะ ไม่คิดอย่างนั้น และไม่คิดว่าพี่เขาจะนั่นด้วย ด้วยความน่ารักของแกนะคะ แกเป็นคนแบบไม่อะไรเลย แกก็เป็นคนพูดตรงๆ เวลาแกโกรธแกก็บอกว่าแกโกรธ ซึ่งมันง่ายต่อความเข้าใจและง่ายต่อการขอโทษด้วยว่าแกก็ไม่ได้มีอะไรนะ แกก็โกรธของแกนะ ส่วนอื่นคิดว่าไม่น่าใช่ มือที่สามป่วน ไม่น่าใช่อีกเหมือนกัน น้องคะมันไม่ได้เป็นเรื่องราวใหญ่โตระดับประเทศชาติ แล้วเราเองก็ไม่ได้เป็นข่าวกับผู้ชายหล่อๆ มือที่สามมาจากไหนน่ะ”

“ส่วนตัวไม่ได้สนิทกันค่ะ(เจ๊จิ๊ก) เจอกันก็แค่ 2-3 ครั้ง แล้วก็ทุกครั้งที่เจอผู้ใหญ่ เราจะแค่สวัสดีแล้ว ก็ไม่พูดอะไรอีกเลย เพราะว่าบางทีด้วยการที่เป็นนักร้อง ดูเหมือนจะรู้จักคนเยอะนะคะ แต่การที่ได้เข้าไปเสวนากันจริงๆ ค่อนข้างจะน้อย (ถ้าเจอกับพี่จิ๊กครั้งหน้า?) ถ้าเจอกันอีกแล้วค่อยมาถามนะ ดีมั้ยคะ ถ้าเจอกันอีกมันเป็นเรื่องของอนาคตน่ะค่ะ ตอนนี้ไม่แคลงใจอะไรแล้ว เราเข้าใจเลย เพราะเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่เคยเจอเหตุการณ์อะไรอย่างนี้ ไม่เคยเข้าไปในสถานที่อย่างนั้น โกรธได้นะ เข้าใจนะ ก็คิดว่าแค่นี้เขา(เจ๊จิ๊ก)คงจะพอเข้าใจแล้วมั้งคะ”

“รู้สึกว่าคนที่มีชื่อเสียงอยู่กลางที่แจ้ง เราทำอะไรก็แล้วแต่ ถ้าจะอยู่ในวงการนี้จริงๆ การยืนอยู่บนชื่อเสียงเราต้องมีสติ มีความเคารพในคนอื่น มีความเคารพในกันและกัน แล้วก็มีความอ่อนน้อมถ่อมตน แล้วเราคิดว่าคนที่จะตัดสินเราได้จริงๆ ก็คือคนดูเท่านั้นเอง”

ยืนยันไม่ใช่การพลั้งปาก เพราะไม่ได้เจตนาอย่างที่ชี้แจงไป
“ไม่ใช่นะคะ พี่ให้เหตุผลไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนจะจบสวยรึเปล่า คนพูดหน้าตาอย่างนี้ไม่น่าจบสวย ถามว่าอยากให้จบยังไง ก็คิดว่าบ้านเมืองเรามีเรื่องต่างๆ มากมายที่วุ่นวายเยอะแล้วนะคะ เรื่องนี้ก็ขอให้เป็นเรื่องนึงที่จะเป็นช่วงๆ ของมัน ที่แบบไม่มีอะไร ก็มีเรื่องนี้เข้ามาให้มันได้มีคนได้ระบายอารมณ์ ได้ระบายปมด้อยของบางคนไว้ก็แค่นั้น”

“ไม่เครียดเลยค่ะ เป็นคนเวลาทำอะไรแล้วจะมีสติเสมอ นี่มันเป็นเรื่องที่ดี ที่พี่ ต้น ลาวัลย์ กัณชาติ (บอสเจเอสแอล)เป็นเจ้านายที่เรารักมาก และสอนเสมอว่าทำอะไรต้องมีสติ ทำอะไรต้องนอบน้อมถ่อมตน แล้วทำอะไรก็แล้วแต่ต้องทำอย่างมีมารยาทด้วย ต้องมีเหตุผล คือเป็นผู้ใหญ่ที่สอนเราได้ทุกอย่างเลย มันทำให้ใช้ได้หมด และเขาบอกว่าคนที่เจนสังเวียนจะเข้าใจในโลกอย่างเราจะเข้าใจในโลกมาก จนพี่ต้นบอกว่า อะไรก็แล้วแต่เขาไม่ค่อยได้ห่วงมาก”

เผยข่าวที่ออกมาไม่มีผลกับงาน และตนก็เป็นคนย่อมทำผิดพลาดกันได้ จิกคนที่ด่าในอินเตอร์เป็นแค่พวกที่อยากระบายปมด้อยของตัวเอง
“ไม่ มีผลกระทบอะไรเลย ปกติ เพราะว่าเท่าที่ผ่านมาความสามารถของเรา กับความรู้จักกาละเทศะของเรามันเป็นบทพิสูจน์ แต่ไม่ว่าเราจะรู้จักกาละเทศะขนาดไหน เราเป็นมนุษย์ เราก็ผิดได้ พลาดได้เหมือนกัน ที่ว่าปมด้อย หมายถึงคนที่ชอบเข้าไปในเว็บแล้วชอบด่านะ ในอินเตอร์เน็ตน่ะ ชอบไประบายปมด้อยของตัวเอง แล้วก็ไม่รู้ใครมาด่า แต่ก็ขำนะ บางทีโดนด่าว่าปลาพะยูนก็ขำนะ อะไรก็แล้วแต่คิดว่าเมื่อไหร่ก็แล้วแต่ เรื่องจะเป็นเรื่องก็ต่อเมื่อเราใส่ใจกับมัน มันจะไม่เป็นเรื่องถ้าเราไม่ใส่ใจกับมัน แล้วเราเข้าใจจริงๆ ว่ามันคือการระบายอารมณ์ ทุกคนได้กันไปหมด ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเอง ทุกคนทำอะไรของตัวเองสักอย่างนึง แล้วก็ให้สิ่งนั้นกลับไปสู่ตัวเองค่ะ”

โต้เรื่องที่ว่าไปว่ากระแทก “ไก่ วรายุฑ มิลินทจินดา” ว่าเป็น “กระเทยแก่” จนทนไม่ได้เดินออกจากร้านเช่นกัน ว่าตนไม่อยากให้พาดพิงถึงคนอื่น ขอให้เรื่องจบแค่นี้

“ไม่ได้พูดคำนั้น พูดคำอื่นเลยนะคะ คำที่เป็นเรื่องอยู่ทุกวันนี้น่าจะเป็นคำที่ตรงที่สุดแล้ว ประเด็นอื่นไม่ได้ไปแตะใครเลย เอาอย่างนี้ดีกว่า เรื่องนี้มันเป็นเรื่องระหว่างคนสองคน ระหว่างเรากับพี่เขา ดังนั้นอย่าดึงใครก็แล้วแต่ให้เข้ามาเดือดร้อนด้วยเลย สงสารเขา แล้วเราไม่ชอบทำให้ใครเดือดร้อน ความเป็นตัวตนของเราคือตรงไปตรงมา แล้วก็ต้องแบบตรงไหนตรงนั้นต้องเอาให้จบ”

ผู้สื่อข่าวถามความคิดเห็นส่วนตัว ว่ารู้สึกว่าตัวเองพูดแรงและสนุกเกินพอดีไปหรือไม่? เจ้าตัวตอบว่า...
“ก็ให้สัมภาษณ์ไปหมดแล้วเมื่อสักครู่นะคะ”

ครั้นพอย้ำถามอีกรอบว่าเจ้าของร้านยืนยันว่าเอ่ยชื่อเจ๊จิ๊กด้วย? สาวคิ้มก็ยังยืนยันว่าแค่เรียกผ่านๆ ไม่ได้ระบุใคร
“อย่างที่บอกไงคะ เวลาเอ่ยชื่อจะเอ่ยชื่อทุกคนผ่านไปนะคะ ว่าสวัสดีนะคะอ้าวพี่ก็มาด้วย ถ้าจะเอามาประติดประต่อกันเนี่ย ก็ไม่เข้าใจ (ยืน ยันว่ามันไม่ได้เป็นประโยคที่ต่อเนื่องและเอ่ยคำนั้น?) ไม่ได้ยืนยันอะไรทั้งนั้นค่ะ ไม่ได้ยืนยันอะไรทั้งนั้น ตอนนี้เดี๋ยวถ้าเกิดเขียนข่าวอะไร เราไม่ได้ยืนยันอะไรทั้งนั้นนะคะ เพราะว่าอย่างที่เรียนให้ทราบ มันไม่ได้มีอะไรไปยืนยันใดๆ พอแล้วค่ะ ขอให้มันจบลง ดูที่เจตนากันนิดนึงนะคะ ให้มันจบๆ กันไปเถอะค่ะ เราทำมาหากินโดยสุจริตของเรา เราคิดว่าถ้ามันมีเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ก็อยากจะให้เห็นใจกันบ้าง แต่อย่างที่บอกไงคะ ว่าถ้าจะดีที่สุดต้องใช้อย่างถูกคนด้วยค่ะ”

No comments: