Wednesday, May 13, 2009

คลิปสัมภาษณ์เจนนิเฟอร์ คิ้ม

เจนนิเฟอร์ คิ้ม ยันไม่ได้แซว เจ๊จิ๊ก เป็นกะ_รี่ บอก แค่แซวทั่วไป

“เจนนิเฟอร์ คิ้ม” ยันไม่ได้แซว “เจ๊จิ๊ก” เป็นกะ_รี่ บอก แค่แซวทั่วไปไม่ได้ระบุว่าเป็นใคร ย้ำ ตนรู้จักกาลเทศะพอ ฝากขอโทษผ่านสื่อ แต่ปฏิเสธที่จะเคลียร์ส่วนตัว คิดเองว่าแค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ออกปากอยากให้เรื่องจบตรงนี้โดยเร็ว พร้อมเปรย ตนก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่ทำผิดพลาดกันได้ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ ฟุ้ง เรื่องนี้ไม่มีผลอะไรกับชีวิต เพราะแคร์คนที่ฟังเพลงตนมากกว่า ก่อนเผย ต่อไปนี้จะระวังคนมากกว่าระวังคำพูด

หลังจากหลบหน้าเลี่ยงที่จะให้สัมภาษณ์อยู่นาน ล่าสุด “เจนนิเฟอร์ คิ้ม” ก็ออกมาเปิดใจถึงกรณีที่ “จิ๊ก เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์” ออกมาฉะผ่านสื่อ ว่าโดนสาวคิ้มแซวว่าเป็นกะ_รี่ กลางผับ ทั้งที่ไม่ได้มีความสนิทสนมกันพอที่จะเล่นกันได้แรงขนาดนั้น

วันนี้เจ้าตัวก็เลยเปิดปากเคลียร์หมดเปลือกกลางงาน “COTTON USA presents ELLE Fashionista Boy & Girls Contest” ที่โรงแรงโนโวเทล สยามสแควร์ โดยยืนยันว่าไม่ได้ว่าเจ๊จิ๊ก แจง สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของโชว์ที่ไม่ได้พูดเจาะจงใคร ซึ่งค้านกับคำให้สัมภาษณ์ทั้งของเจ๊จิ๊ก และเจ้าของร้าน FAKE CLUB ร้านที่เกิดเรื่องอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากเจ้าของร้าน ยืนยันว่า สาวคิ้มเอ่ยชื่อเจ๊จิ๊กเลยด้วยซ้ำ

“ต้องเรียนให้ทราบก่อนนะคะ ว่า ในวันนั้นคิ้มได้ไปงานๆ นึงนะคะ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ได้เป็นงานวีไอพีหรืองานที่บางคน บางคนนะคะ บอกว่าเป็นงานไฮโซหรือว่าหรือว่าเอ็กซ์คูซีฟใดๆ ทั้งนั้น เป็นงานฉลองครบรอบเปิดร้านอะไรสักอย่างนึง ซึ่งย่านนั้นเป็นย่าน อ.ต.ก. ทีนี้ย่าน อ.ต.ก. จะเป็นย่านของผับบาร์เกย์ หรือเรียกว่าเพศที่สาม เป็นผับของเพศที่สามนะคะ ซึ่งแต่ละร้านเป็นร้านเล็กๆ แล้วก็ติดริมฟุตบาท แล้วก็ค่อนข้างที่จะเซ็งแซ่กันทุกร้าน เสียงดังกันไปหมดทุกร้าน ข้างหน้ามีร้านขายลูกชิ้น ร้านขายปลาหมึกจอดเรียงกัน ก็ไม่รู้ว่ามันวีไอพีตรงไหน และแขกส่วนใหญ่ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์เข้าไปในร้านหมดแล้ว”

“มันจะมีเวทีอยู่ 2 เวที เวทีด้านนอกก็จะเป็นเวทีซึ่งเขาจะให้เราคุยนิดๆ หน่อยๆ ร้องเกลิ่นนำแล้วค่อยเข้าไปข้างใน เหมือนกับอยากได้ภาพข้างหน้าก่อน แล้วค่อยเดินเข้าไปข้างใน ทีนี้ไอ้ด้านข้างหน้าลูกค้าที่นั่งอยู่ก็จะเป็นลูกค้าที่กำลังจะกลับแล้ว เพราะเราร้องตอนนั้นเกือบเที่ยงคืนแล้วค่ะ ห้าทุ่มกว่า ทางร้านบอกว่าช่วยงานหน่อย ไปช่วยงานหน่อย เราก็ไปนะคะ”

“และพอข้างหน้าคนบางคนที่จะกลับบ้านแล้ว หรือผู้ใหญ่บางคนที่มาที่นี่ประจำแล้ว ไม่อยากจะนั่งเบียดๆ กัน ไม่อยากจะเข้าไปเบียดๆ กันข้างใน ทีนี้เวลาที่คุยอะไรไปวันนั้นเลยนะคะ ไม่ได้ดื่มเลยนอกจากน้ำเปล่า ไม่ได้ดื่มอะไรเลยทั้งวัน วันนั้นจึงไม่ได้เมานะคะ แล้วก็มีสติครบถ้วน อีกเรื่องนึงก็คือว่าเวลาที่เราไปไหนสถานที่ใดสถานที่นึง เราต้องรู้ก่อนว่าตรงนั้นเป็นสถานที่แบบไหน แขกหรือลูกค้าที่มาเป็นกลุ่มเป้าหมายแบบไหน”

“เพราะฉะนั้นการเลือกใช้คำ ถ้อยคำภาษาหรือเรื่องราวต่างๆ มันจะต้องตรงไปกับกลุ่มนั้น เพราะจะทำให้เกิดการเป็นกันเอง ถ้าเราใช้ต่างภาษากัน ซึ่งไม่เคยใช้ภาษาอย่างนี้ในที่อื่น สาธารณะอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่ผับบาร์เกย์หรือบาร์สำหรับเพศที่สาม บางทีไปงานประชุมระดับนานาชาติ ใช้คำนี้ก็คงจะ หือ ผู้ใหญ่จะเข้าใจมั้ย หรือไปงานบางงานที่เจออาซิ้ม อาม่าซึ่งเป็นแบบเหมือนญาติคนจีนของเรา เราใช้คำพูดพวกนี้ผู้ใหญ่คงไม่เข้าใจนะคะ”

“ดัง นั้นกาละเทศะ มันอยู่ที่การเลือกใช้ถ้อยคำและก็เนื้อหาที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ดังนั้นเวลาที่พูดอะไรไป ถึงคนจะมองว่าเราจะดูแบบท่าทางชอบจิกกัด ชอบแซวผู้ชาย หรือชอบพูดจาทะลึ่งตลกโปกฮา มันเป็นการแสดงโชว์ของเรา แต่ไม่ใช่ชีวิตจริงของเรา คนเรามันมีสไตล์ของการโชว์ใช่มั้ยคะ เวลาที่โชว์อะไรไปเราก็สนุกสนาน และก็ใช้ถ้อยคำที่ตรงกับสถานที่นั้นๆ เวลาที่พูดอะไรออกไป คนที่มาดูส่วนใหญ่แล้วก็เป็นชาวเพศที่สาม ซึ่งเราไม่ต้องระมัดระวังคำพูดมากนัก”

ผู้สื่อข่าวยิงคำถามว่า สรุปวันนั้นได้พูดกับว่ากะ..รี่ หรือไม่? สาวคิ้มยอมรับว่าได้พูดจริง แต่เป็นเพียงแค่ถ้อยคำหนึ่งของการโชว์ ไม่ได้เจาะจงที่บุคคลใด ยัน ไม่ได้แซวเจ๊จิ๊ก เพราะเพิ่งเหลือบไปเห็นตอนจะลงจากเวทีแล้ว

“เอ่อ คืออย่างนี้นะคะ เวลาที่เราจะคุยอะไรออกไป เวลาพูดอะไรออกไปมันเป็นถ้อยคำนึงในส่วนนึงของโชว์ ดังนั้นมันจะไหลไปเปรอะใคร มันเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน แต่ไม่ได้มีเจตนาที่จะให้ไหลไปเปรอะผู้ใหญ่คนใดเลย เพราะว่าพี่จะนึกอยู่ในใจเสมอว่าลูกค้าทุกคนเป็นเพศที่สามนะ แล้วกำลังสนุกสนาน ไม่ได้โฟกัสไปที่ใครด้วยซ้ำไปค่ะ ส่วนชื่อที่พูด เราเรียกชื่อผู้ใหญ่ตั้งหลายท่าน ผ่านแบบเวลาจะทักผู้ใหญ่ เวลาเจอผู้ใหญ่ก็จะสวัสดีค่ะ พี่คนนั้นนะคะ สวัสดีค่ะ พี่คนนี้นะคะ อ้าวพี่คนนี้ก็มาด้วยสวัสดีนะคะ มันจะไม่เกี่ยวกับคำนั้น”

“เห็น ตอนจะลง(เห็นเจ๊จิ๊ก) เพิ่งเห็นตอนจะลง แต่ตอนก่อนหน้านั้นไม่ทราบ เพราะว่าเวลาขึ้นไปเราจะค่อนข้างโฟกัสว่า ว๊าย จะร้องเพลงจะเก็ทมั้ย จะพูดไปจะเก็ทมั้ย คือสมองเราจะเรียกว่าตั้งสมาธิก่อน เราจะไม่ได้โฟกัสไปที่คนดูเป็นยังไงเลย เพราะไม่งั้นจะไม่มีสติที่จะพูดอะไรค่ะ”

ยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาพาดพิงถึงใคร และวันนี้ตั้งใจมาขอโทษ แต่คงไม่ต้องเคลียร์กันอีก เพราะขอโทษผ่านสื่อไปแล้วน่าจะพอใจ

“เอา ที่เจตนา ไม่ได้มีเจตนาที่จะพาดพิงถึงใครในลักษณะที่ก้าวร้าวหรืออะไร เราคิดว่าในระบบอาวุโสของคนไทย เรายังถูกสอนตั้งแต่ที่บ้านจนมาถึงทุกวันนี้ที่ยืนอยู่ตรงนี้ ก็คิดว่าเรารู้เรื่องอย่างนี้ดีนะคะ แต่ว่าไอ้คำที่มันเวลาเล่นในสถานที่อย่างนั้น บางทีคำพูดมันอาจจะไปเปื้อน ไปไหลเลี่ยนเปรอะเป็นไปได้อยู่”

“แล้ว ก็เข้าใจว่าถ้าพี่เขา(เจ๊จิ๊ก)ไม่เคยมาที่นี่มาก่อนนะคะ อย่างน้องบางคนที่ไม่เคยเข้ามาก่อน ก็อาจจะ เฮ้ย มันมีคำอย่างนี้ด้วย พูดกันอย่างนี้ด้วย ซึ่งเราเข้าใจว่าถ้าเกิดพี่ที่ไม่เคยมาที่อย่างนี้มาก่อน จะเกิดการเข้าใจผิดได้ ซึ่งวันนี้เรามา ด้วยความที่เป็นเด็กกว่า ไม่ว่าโดยที่เราจะทำอะไรไป โดยที่ไม่เจตนาหรือเจตนาก็ตาม ถ้าทำให้ผู้ใหญ่ไม่สบายใจหรือไม่พึงพอใจอะไรขึ้นมา ความที่เราเป็นเด็ก เราคิดว่าเป็นเด็กก็ต้องขอโทษ ไม่ว่าจะถูกจะผิดยังไง เราถูกสอนมาจากที่บ้านเลย ว่าจะถูกจะผิดยังไง เขาเป็นผู้ใหญ่กว่า คุณต้องขอโทษ แล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากัน เพราะฉะนั้นก็ต้องกราบขอโทษพี่เขาด้วยนะคะ ว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะก้าวร้าวหรืออะไร มันเป็นส่วนหนึ่งของการโชว์และการแสดงเท่านั้น”

“ถ้าได้โทรคุยกันตั้งแต่ทีแรกเรื่องคงจะไม่เป็นอย่างนี้ แต่ก็ทราบพร้อมกับพวกน้องๆ ที่มีข่าวออกมาอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ แต่คิดว่าขอโทษผ่านสื่อเรียบร้อยแล้ว ก็คิดว่าอยากให้เรื่องมันจบลงเร็วๆ คือความที่เราจะได้ไปทำหน้าที่ของเราได้ตามปกติ”

“ผลกระทบ อันนี้ต้องกราบขอโทษนะคะ คนดู คนฟัง ที่ทำให้เกิดเรื่องรำคาญใจเกิดขึ้น แล้วก็ต้องกราบขอบพระคุณสำหรับคนที่ยังเป็นกำลังใจให้ แล้วก็คนที่ยังเข้าใจอยู่ เราคิดว่าคนดูคนฟังของเรา เขารู้จักตัวจริงๆ ของเรา ซึ่งค่อนข้างจะเป็นคนที่พูดจาตรงๆ แล้วก็เปิดเผย ถ้าผิดจะบอกว่าผิด ถ้าถูกก็จะแบบ เออ มันถูก เพราะมันมีเหตุผลอย่างนี้ๆ ดังนั้นเราคิดว่าคนดูคนฟังเขาจะเข้าใจน่ะค่ะ”

เผยว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนกับนักแสดงรุ่นพี่น่าจะดีเหมือนเดิม ถ้าเป็นผู้ใหญ่ปกติถ้าเด็กมาขอโทษก็น่าจะให้อภัยกัน บอกต่อไปนี้จะรังวังคนมากกว่าคำพูด

“คิดว่าน่าจะเหมือนเดิมนะคะ เพราะว่าเวลาเรา ในสังคมไทย ถ้าขอโทษ เด็กทำผิดแล้วเด็กขอโทษ ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ก็จะเอ็นดูกัน แล้วก็อย่างน้อยที่สุดมันก็ยังเป็นลูกเป็นหลานกันนะ (ใน ฐานะที่เราเป็นเด็กจะโทรไปหาเขามั้ย?) คิดว่าอยากให้เรื่องมันจบตรงนี้ค่ะ (ถ้าฝั่งพี่จิ๊กบอกว่าแค่คำขอโทษมันอาจจะไม่พอ?) อันนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่า ความจริงแล้วมันเป็นเรื่องของคนสองคน ซึ่งถ้ามันจะไม่พอหรืออะไรยังไง เราคิดว่าแล้วแต่ความต้องการมากน้อยของคนแต่ละคนนะ อันนี้เราก็คิดว่าทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ณ เวลานี้แล้ว”

“ต่อ ไปคิดว่าระวังคนมากกว่าระวังคำพูด คือว่าเราต้องดูว่าคนนี้เป็นใคร แล้วคนนั้นคนไหนเซนซิทีฟขนาดไหน เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วเวลาดูคนปุ๊บ จะรู้เลยว่าอันนี้เล่นได้ อันนั้นเล่นไม่ได้ เพราะว่าด้วยความที่เมื่อก่อนนี้ร้องเพลงกลางคืนมา โดนโขก โดนสับ โดนด่า โดนเขวี้ยงแก้วใส่สารพัด โดนไล่ออกสารพัด ทุกแบบที่เจอมามันสอนให้รู้จักว่าคนเรามีหลายระดับ คนเรามีหลายความคิด คนเราแตกต่างกัน ดังนั้นตัวเราเองไม่สามารถเอาตัวเองไปเป็นมาตรฐานที่จะวัดใครได้ว่าใครเป็น ยังไง แล้วก็เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ว่าถ้าฉันคิดอย่างนี้ฉันมีเหตุผล เราไม่ใช้เหตุผลส่วนตัว แต่จะใช้เหตุผลโดยรวม และมาตรฐานของสังคมเป็นที่ตั้งค่ะ”

“ไม่คิดว่าเป็นข่าวที่รุนแรงนะคะ เพราะว่าถ้าบอกว่าแรงที่สุด ข่าวนั้นจะต้องส่งผลกระทบต่อความเจริญก้าวหน้าและความมั่นคงของบ้านเมือง ต่อประเทศชาติของเรา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้หลายๆ คน เอ่อ คือต้องเข้าใจว่าบางคนก็จะฟังดูแล้วก็ให้เรื่องนี้ผ่านไป บางคนก็เอามาจิกมาตีมาด่า เพราะว่าเข้าใจอยู่ค่ะว่ามันเป็นการช่วยลดปมด้อย”

“บางคนเวลาเราเน้นปมด้อยของคนอื่นปั๊บเนี่ย เราจะรู้สึกลืมปมด้อยของตัวเองไปชั่วขณะ เราเป็นนักร้อง เป็นคนธรรมดา เป็นคนธรรมดาที่มีอาชีพในการร้องเพลง ซึ่งมีถูกมีผิดมีทุกอย่างในตัวเอง เราเป็นคนธรรมดาเหมือนน้องๆ ทุกคน เพียงแต่มีอาชีพร้องเพลงเท่านั้นเอง ศักดิ์และศรีเท่ากับทุกคน ดังนั้นจึงไม่คิดว่า เราไม่ได้เกิดมาจากความเพอร์เฟ็คอยู่แล้ว ไม่ได้ถูกสร้างมาอย่างไร้ที่ติอยู่แล้ว เป็นมนุษย์ที่ผิดได้ถูกได้เหมือนทุกๆ คนค่ะ”

ยืนยันคำพูดที่ว่า “กะ...รี่แก่” ไม่ได้หมายถึงใคร แต่หมายถึงคนทั่วๆ ไป
“เรา หมายถึงคนทั่วๆ ไป เวลา ณ วินาทีที่คุยนะคะ เราสื่อสารกับคนโดยส่วนใหญ่ที่อยู่ ณ ที่นั้น ซึ่งก็เป็นบาร์ของคนประเภทที่สาม ซึ่งไม่ค่อยถือสาอยู่แล้ว เราไม่สามารถเข้าไปสแกนได้ ณ เวลานั้นหรอกว่า เฮ้ย จะโดนใครหรือจะอะไร มันเหมือนกับว่าสมมติเข้าไปในที่ที่คนเล่นสาดน้ำ มันต้องโดนนิดโดนหน่อยกันบ้าง ต้องเข้าใจเลยแหละค่ะ เพราะเข้าไปในที่อย่างนั้นมันสนุกมากๆ แต่มันมีข้อแม้นิดนึง คุณต้องจิตแข็งนิดนึง”

“จริงๆ เห็นตอนแว๊บนึง ตอนที่เขาจะดึงเข้าไปอยู่ข้างในน่ะค่ะ เป็นแว๊บหลังจากที่จะขึ้นไปร้องเพลง แต่จริงๆ ตรงนั้นไม่ได้เป็นสาระสำคัญ สาระสำคัญคือว่าโดยที่ไม่ได้เจตนา แล้วพี่เขาก็ไม่พอใจ ก็ได้ขอโทษไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเรื่องมันก็เกิดมานานแล้วประมาณ 2 เดือน 25 มีนาคม”

ออกตัวแทนเจ๊จิ๊ก ว่าไม่ใช่ฝ่ายนั้นสร้างกระแสให้เกิดข่าวนี้แน่ เพราะดูจากนิสัยแล้วเป็นคนที่น่ารักและเปิดเผย
“อ๋อ ไม่คิดน่ะค่ะ ไม่คิดอย่างนั้น และไม่คิดว่าพี่เขาจะนั่นด้วย ด้วยความน่ารักของแกนะคะ แกเป็นคนแบบไม่อะไรเลย แกก็เป็นคนพูดตรงๆ เวลาแกโกรธแกก็บอกว่าแกโกรธ ซึ่งมันง่ายต่อความเข้าใจและง่ายต่อการขอโทษด้วยว่าแกก็ไม่ได้มีอะไรนะ แกก็โกรธของแกนะ ส่วนอื่นคิดว่าไม่น่าใช่ มือที่สามป่วน ไม่น่าใช่อีกเหมือนกัน น้องคะมันไม่ได้เป็นเรื่องราวใหญ่โตระดับประเทศชาติ แล้วเราเองก็ไม่ได้เป็นข่าวกับผู้ชายหล่อๆ มือที่สามมาจากไหนน่ะ”

“ส่วนตัวไม่ได้สนิทกันค่ะ(เจ๊จิ๊ก) เจอกันก็แค่ 2-3 ครั้ง แล้วก็ทุกครั้งที่เจอผู้ใหญ่ เราจะแค่สวัสดีแล้ว ก็ไม่พูดอะไรอีกเลย เพราะว่าบางทีด้วยการที่เป็นนักร้อง ดูเหมือนจะรู้จักคนเยอะนะคะ แต่การที่ได้เข้าไปเสวนากันจริงๆ ค่อนข้างจะน้อย (ถ้าเจอกับพี่จิ๊กครั้งหน้า?) ถ้าเจอกันอีกแล้วค่อยมาถามนะ ดีมั้ยคะ ถ้าเจอกันอีกมันเป็นเรื่องของอนาคตน่ะค่ะ ตอนนี้ไม่แคลงใจอะไรแล้ว เราเข้าใจเลย เพราะเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่เคยเจอเหตุการณ์อะไรอย่างนี้ ไม่เคยเข้าไปในสถานที่อย่างนั้น โกรธได้นะ เข้าใจนะ ก็คิดว่าแค่นี้เขา(เจ๊จิ๊ก)คงจะพอเข้าใจแล้วมั้งคะ”

“รู้สึกว่าคนที่มีชื่อเสียงอยู่กลางที่แจ้ง เราทำอะไรก็แล้วแต่ ถ้าจะอยู่ในวงการนี้จริงๆ การยืนอยู่บนชื่อเสียงเราต้องมีสติ มีความเคารพในคนอื่น มีความเคารพในกันและกัน แล้วก็มีความอ่อนน้อมถ่อมตน แล้วเราคิดว่าคนที่จะตัดสินเราได้จริงๆ ก็คือคนดูเท่านั้นเอง”

ยืนยันไม่ใช่การพลั้งปาก เพราะไม่ได้เจตนาอย่างที่ชี้แจงไป
“ไม่ใช่นะคะ พี่ให้เหตุผลไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนจะจบสวยรึเปล่า คนพูดหน้าตาอย่างนี้ไม่น่าจบสวย ถามว่าอยากให้จบยังไง ก็คิดว่าบ้านเมืองเรามีเรื่องต่างๆ มากมายที่วุ่นวายเยอะแล้วนะคะ เรื่องนี้ก็ขอให้เป็นเรื่องนึงที่จะเป็นช่วงๆ ของมัน ที่แบบไม่มีอะไร ก็มีเรื่องนี้เข้ามาให้มันได้มีคนได้ระบายอารมณ์ ได้ระบายปมด้อยของบางคนไว้ก็แค่นั้น”

“ไม่เครียดเลยค่ะ เป็นคนเวลาทำอะไรแล้วจะมีสติเสมอ นี่มันเป็นเรื่องที่ดี ที่พี่ ต้น ลาวัลย์ กัณชาติ (บอสเจเอสแอล)เป็นเจ้านายที่เรารักมาก และสอนเสมอว่าทำอะไรต้องมีสติ ทำอะไรต้องนอบน้อมถ่อมตน แล้วทำอะไรก็แล้วแต่ต้องทำอย่างมีมารยาทด้วย ต้องมีเหตุผล คือเป็นผู้ใหญ่ที่สอนเราได้ทุกอย่างเลย มันทำให้ใช้ได้หมด และเขาบอกว่าคนที่เจนสังเวียนจะเข้าใจในโลกอย่างเราจะเข้าใจในโลกมาก จนพี่ต้นบอกว่า อะไรก็แล้วแต่เขาไม่ค่อยได้ห่วงมาก”

เผยข่าวที่ออกมาไม่มีผลกับงาน และตนก็เป็นคนย่อมทำผิดพลาดกันได้ จิกคนที่ด่าในอินเตอร์เป็นแค่พวกที่อยากระบายปมด้อยของตัวเอง
“ไม่ มีผลกระทบอะไรเลย ปกติ เพราะว่าเท่าที่ผ่านมาความสามารถของเรา กับความรู้จักกาละเทศะของเรามันเป็นบทพิสูจน์ แต่ไม่ว่าเราจะรู้จักกาละเทศะขนาดไหน เราเป็นมนุษย์ เราก็ผิดได้ พลาดได้เหมือนกัน ที่ว่าปมด้อย หมายถึงคนที่ชอบเข้าไปในเว็บแล้วชอบด่านะ ในอินเตอร์เน็ตน่ะ ชอบไประบายปมด้อยของตัวเอง แล้วก็ไม่รู้ใครมาด่า แต่ก็ขำนะ บางทีโดนด่าว่าปลาพะยูนก็ขำนะ อะไรก็แล้วแต่คิดว่าเมื่อไหร่ก็แล้วแต่ เรื่องจะเป็นเรื่องก็ต่อเมื่อเราใส่ใจกับมัน มันจะไม่เป็นเรื่องถ้าเราไม่ใส่ใจกับมัน แล้วเราเข้าใจจริงๆ ว่ามันคือการระบายอารมณ์ ทุกคนได้กันไปหมด ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเอง ทุกคนทำอะไรของตัวเองสักอย่างนึง แล้วก็ให้สิ่งนั้นกลับไปสู่ตัวเองค่ะ”

โต้เรื่องที่ว่าไปว่ากระแทก “ไก่ วรายุฑ มิลินทจินดา” ว่าเป็น “กระเทยแก่” จนทนไม่ได้เดินออกจากร้านเช่นกัน ว่าตนไม่อยากให้พาดพิงถึงคนอื่น ขอให้เรื่องจบแค่นี้

“ไม่ได้พูดคำนั้น พูดคำอื่นเลยนะคะ คำที่เป็นเรื่องอยู่ทุกวันนี้น่าจะเป็นคำที่ตรงที่สุดแล้ว ประเด็นอื่นไม่ได้ไปแตะใครเลย เอาอย่างนี้ดีกว่า เรื่องนี้มันเป็นเรื่องระหว่างคนสองคน ระหว่างเรากับพี่เขา ดังนั้นอย่าดึงใครก็แล้วแต่ให้เข้ามาเดือดร้อนด้วยเลย สงสารเขา แล้วเราไม่ชอบทำให้ใครเดือดร้อน ความเป็นตัวตนของเราคือตรงไปตรงมา แล้วก็ต้องแบบตรงไหนตรงนั้นต้องเอาให้จบ”

ผู้สื่อข่าวถามความคิดเห็นส่วนตัว ว่ารู้สึกว่าตัวเองพูดแรงและสนุกเกินพอดีไปหรือไม่? เจ้าตัวตอบว่า...
“ก็ให้สัมภาษณ์ไปหมดแล้วเมื่อสักครู่นะคะ”

ครั้นพอย้ำถามอีกรอบว่าเจ้าของร้านยืนยันว่าเอ่ยชื่อเจ๊จิ๊กด้วย? สาวคิ้มก็ยังยืนยันว่าแค่เรียกผ่านๆ ไม่ได้ระบุใคร
“อย่างที่บอกไงคะ เวลาเอ่ยชื่อจะเอ่ยชื่อทุกคนผ่านไปนะคะ ว่าสวัสดีนะคะอ้าวพี่ก็มาด้วย ถ้าจะเอามาประติดประต่อกันเนี่ย ก็ไม่เข้าใจ (ยืน ยันว่ามันไม่ได้เป็นประโยคที่ต่อเนื่องและเอ่ยคำนั้น?) ไม่ได้ยืนยันอะไรทั้งนั้นค่ะ ไม่ได้ยืนยันอะไรทั้งนั้น ตอนนี้เดี๋ยวถ้าเกิดเขียนข่าวอะไร เราไม่ได้ยืนยันอะไรทั้งนั้นนะคะ เพราะว่าอย่างที่เรียนให้ทราบ มันไม่ได้มีอะไรไปยืนยันใดๆ พอแล้วค่ะ ขอให้มันจบลง ดูที่เจตนากันนิดนึงนะคะ ให้มันจบๆ กันไปเถอะค่ะ เราทำมาหากินโดยสุจริตของเรา เราคิดว่าถ้ามันมีเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ก็อยากจะให้เห็นใจกันบ้าง แต่อย่างที่บอกไงคะ ว่าถ้าจะดีที่สุดต้องใช้อย่างถูกคนด้วยค่ะ”

Sunday, May 10, 2009

เจ๊จิ๊ก-เนาวรัตน์ยังชอบ คิ้ม จิ๊ก แค่แนะระวังคำพูด


เหตุเกิดเพราะแซวกันแรง เกินไป กลายเป็นกระแสข่าวเดือดจากกลางผับแห่งหนึ่งระหว่าง ดาราสาวรุ่นใหญ่ ”เจ๊จิ๊ก-เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์” กับนักร้องสาวเสียงดีอย่าง ”เจนนิเฟอร์ คิ้ม’‘ ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา ไปเปิดใจถึงความรู้สึกที่ถูกเหน็บด้วยคำพูดรุนแรงในรายการเน็ค สเตชั่น บาย พรหมพร ที่วิกสนามเป้า อีกรอบ โดยมี ”เอิ๊ก-พรหมพร ยูวเวส” และ ”อั๋น-ภูวนาท คุนผลิน” ทำหน้าที่พิธีกรดำเนินรายการ

ช่วยเล่าเหตุการณ์ตอนนั้นให้ฟังหน่อย?

จิ๊ก : เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2 เดือนแล้วค่ะที่ร้านเฟค อตก. เป็นการเลี้ยงครบรอบบาร์ ผับ เขาก็เชิญเราไปด้วยไปเป็นแขกวีไอพี คุณคิ้มเป็นพิธีกรในงาน และเขาก็พูดว่าวันนี้เก้ง กวาง เต็มไปหมดเลย วันนี้ดิฉันดีใจมากที่มางานแบบนี้ แล้วก็บอกว่ามีกะเทยเฒ่า มีอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมดเลย เขาก็แซวแรง เราก็เลยไปหลบหลังเพื่อนชื่อปุ้ยค่ะ เขาเห็นพอดีเขาบอกว่าอุ๊ย ขอโทษนะคะ ดิฉันเป็น….วันนี้ มี….แก่ๆ มานั่งอยู่อีกตัวหนึ่ง เราก็ตกใจ แล้วตอนนี้ไม่มีใครหัวเราะเลย ทุกคนก็เงียบกันหมดเลย แม้กระทั่ง กะเทยยังหันมามองหน้าเราหมดทุกคนเลยนะ ทุกคนก็บอกแรงพี่จิ๊กแรงนะ ทุกคนพูดแบบนี้หมด แต่คิ้มอยู่บนเวที พี่หยิบกระเป๋าจะลุกกลับบ้านแล้ว แต่เพื่อนบอกว่าอย่าเพิ่งไปสิ ฟังพี่คิ้มร้องเพลงก่อน เราเลยบอกไม่ฟังแล้ว แล้วมีข่าวบอกว่าเราจะขึ้นไปเอาเรื่อง แต่เรื่องตั้งแต่วันนั้นยังไม่เคยเจอหน้ากันอีกเลย

ตั้งแต่วันนั้นมายังไม่มาขอโทษ?

จิ๊ก : ยังไม่ได้คุยกันเลย แล้วพอเขาว่าเราเป็น… เราก็รู้สึกตกใจนะ มันแรง มันแรงเกินไป พี่จะกลับบ้านแต่เพื่อนห้ามไว้ไม่อยากให้กลับ แต่เราก็อยู่แป๊บเดียวเองแล้วก็กลับ พอขับรถกลับมา เราก็ตั้งสติคิดอยู่ตั้งนานว่าทำไมเอ๊ะ…เขาถึงมาว่าเราแบบนี้ มันเมาหรือเปล่ามันไม่สมควร แล้วงานนี้มันอยู่ในสาธารณชนแต่ถ้าจัดแบบวันเกิดครบรอบมีแต่เพื่อนก็ว่าไป เป็นเรื่องส่วนตัวพูดได้ แต่นี้มันเป็นสาธารณชน อย่างน้อยคนก็มองเราไม่ดี

คิดว่าคิ้มจงใจว่าเราเลยใช่ไหม?

จิ๊ก : งานมันเป็นงานกะเทยนะ แล้วเราก็เป็นผู้หญิง ผู้หญิงที่เขาเรียกกันก็คือชะนี แล้วจะมีแค่เรากับเพื่อน นอกนั้นจะไม่มีใครเป็นสาวประเภทสองไปหมด ต้องเราเลยเพราะเราหลบแล้วเขาหันมาเห็นเราพอดี มันตกใจมากกว่าอึ้งนะ งงๆ ว่าเอ๊ะอะไร

ถามว่าส่วนตัวแล้วสนิทไหม?

จิ๊ก : ถ้าถามในส่วนตัวนี้ เราปลื้มเขาแล้วก็ชื่นชอบเขามานานนมแล้ว เพราะว่าชอบเขาร้องเพลง เขาร้องเพลงเพราะ แต่ไม่ได้สนิทถึงต้องเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟัง ไม่ค่อยได้เจอกันค่ะ เจอกันน้อยนอกจากจะเจอกันตามรายการ เราฟังเพลงเขาเพราะเราก็เลยซื้อมา

ข่าวหลุดมาได้ไงเพราะพี่จิ๊กก็ไม่เคยพูด?

จิ๊ก : ถ้าข่าวจะหลุดน่าจะหลุดมาตั้งแต่วันรุ่งขึ้นแล้ว เพราะไปเล่าให้เพื่อนสนิทฟังในวันรุ่งขึ้น เพื่อนก็บอกว่าอยากให้คิดหน้าคิดหลังให้ดี ไม่อยากให้มีปัญหาเพราะว่าอยู่วงการเดียวกันอย่าไปสร้างปัญหา เราก็เออลืมๆ มันไปดีกว่า มันไม่อยากให้มีเรื่อง นี่มันผ่านไปแล้ว แต่อยู่ๆ มีหนังสือพิมพ์ลงให้เป็นตัวอักษร ให้ไปคิดเอาเองว่าเป็นใคร แล้วก็มีคนมาสัมภาษณ์เรา พอเรื่องอย่างนี้มันเกิดมาเราก็อยากให้รู้ว่าข่าวจริงมันเป็นแบบนี้และก็มี ที่มาที่ไปที่เป็นแบบนี้ แต่ก็ลงไม่จริงว่าไปถามเลย ไปท้าเลยซึ่งไม่ใช่ความจริงมันเป็นแบบนี้

หลังจากที่เกิดเรื่องนี้ทาง ''เจ๊คิ้ม'' ติดต่อมาบ้างรึยัง?

จิ๊ก : ก็มีนักข่าวมาถาม แล้วบอกว่าติดต่อพี่คิ้มไม่ได้ ไม่ได้คุยก็ได้แต่ติดต่อกับผู้จัดการส่วนตัวแล้วก็บอกว่า เป็นเรื่องส่วนตัว แต่เราไม่เคยมีเรื่องส่วนตัวอะไรกับคุณคิ้มก็เลยงงๆ ว่ามันอะไรเราไม่ได้ต้องการให้เขาขอโทษ แล้วเราก็ไม่เคยต้องการที่จะดัง เพราะทำงานอยู่แล้ว 7 วันเราไม่ได้มาอาศัยคุณคิ้มว่างานนี้ต้องเกิด เพราะว่าสร้างข่าวกระแสขึ้นมาแบบนี้ ซึ่งเราไม่ได้ต้องการ แต่มันเป็นข่าวขึ้นมาเอง เราหยุดแล้วแต่ข่าวมันออกมาเอง เพราะฉะนั้นอยากบอกว่าเหตุผลมันเป็นแบบนี้ นอกนั้นเราไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมาพูดกับเราแบบนี้

จนถึงตอนนี้ติดต่อมาคุยหรือยัง?

จิ๊ก : ยังค่ะมีแต่คุณท็อป ดารณีนุช เจอท็อปหลังจากนั้นวันสองวัน เขาก็จะพูดกับเราว่า พี่เนา เขาทราบเรื่องแล้วนะ คิ้มเขาเป็นคนแบบนี้เขาแรงมาก อาจจะไม่ได้คิดอะไร เราก็เลยบอกว่าท็อปจากที่เราถ้าคิดย้อนไปแล้ว ถ้าว่าท็อปแบบนี้ท็อปโกรธไหม เออนั่นน่ะสิ ถ้าเป็นหนูหนูก็ต้องโกรธ แต่หนูก็ว่า คือเราไม่อยากสานต่อเราก็เลยหยุด คือวันนั้นพี่เล่าให้เพื่อนสนิทพี่ฟังก็คืออ้น ศรีพรรณ ถ้าอยากเป็นข่าววันรุ่งขึ้นไปออกรายการแล้ว เขายังบอกเพราะเขาก็อยากสัมภาษณ์เรา แต่เราไม่อยากเป็นข่าว เขาบอกน้องศรีอยากจะถามพี่เนา เราบอกหยุดเลยเราไม่ต้องการ แต่เมื่อมันเป็นแบบนี้ขึ้นมาเราก็อยากบอกว่ามันไม่ดี และเราไม่อยากคุย ไม่ได้อยากเคลียร์อะไร และไม่เคลียร์ด้วย ไม่อยากได้ยินคำว่าขอโทษ แต่อยากให้คุณคิ้มรู้ว่าเวลาที่ขึ้นเวทีความน่ารักคุณคิ้มมีอยู่แล้วในตัว ร้องเพลงก็เพราะ มีบุญวาสนามากในการร้องเพลง แต่ฉะนั้นแล้วคุณคิ้มในบางคำที่จะทำให้คนอื่นเขาเสียหาย หรืออะไรต้องรู้สึกบ้าง

คำที่โดนแซวนี้ถือว่าแรงมาก?

จิ๊ก : ใช่ ตั้งแต่เกิดมาแรงที่สุด เพราะไม่เคยมีใครมาเรียกเราว่า…. ดูถูกไหมก็ไม่รู้นะ เพราะว่าขนาดเราสนิทกับเพื่อนเรา เรายังไม่เคยเรียกเพื่อนว่า…เลย เรายังไม่กล้าเรียกเพื่อนว่า อี… เรายังไม่กล้าพูดแบบนี้ มันไม่เจ็บหรอก แต่มันบอกไม่ถูกนะ ไม่สมควรมาใช้เลยดีกว่า ถ้าเจ็บมันก็เจ็บ แต่มันไม่สมควรจะใช้ดีกว่า

แสดงว่าตอนแรกโกธรเหมือนกัน?

จิ๊ก : ถูกต้องค่ะ แล้วพี่เองก็เล่าให้เพื่อนสนิทฟังเป็นคนแรก คืออ้น ศรีพรรณ ถ้าพี่อยากเป็นข่าววันที่พี่ไปออกรายการคันปาก พี่จะดังตรงนั้นแล้ว เพราะน้องอ้นบอกแม่เนาเอาเลย อ้นศรีอยากจะถามพี่เนา พี่บอกหยุดพี่ไม่ต้องการ เมื่อเป็นอย่างนี้มา พี่ก็อยากบอกหนังสือลงบางฉบับ คือปัจจุบันพี่ยังไม่ได้ลงตรงนั้นเลย พี่เองก็ไม่ต้องการที่จะเคลียร์ ไม่ต้องการคำขอโทษ แต่อยากให้คุณคิ้มเวลาขึ้นเวที เพราะคุณคิ้มเป็นคนน่ารัก ร้องเพลงน่าฟัง เขาเป็นคนมีบุญวาสนา เฉพาะฉะนั้นแล้วคำพูดของคุณคิ้มบางคำ จะทำให้คนเขาเสียใจ ต้องหยุดตั้งสติบ้าง

ถือว่าเป็นการแซวที่แรงที่สุดเลยหรือเปล่า?

จิ๊ก : แน่นอนตั้งแต่ต้นจนจบในชีวิต ไม่มีแซวคำว่า… ไม่มีใครเรียกพี่ว่า…

ถือว่าคำนี้เป็นการดูถูกเลยหรือเปล่า?

จิ๊ก : ดูถูกมั้ย พี่ก็ไม่รู้ว่าพูดมาได้อย่างไร ขนาดว่าพี่สนิทกับเพื่อนมาสิบปียี่สิบปีพี่ไม่เคยเรียกเพื่อนว่าอี… พี่ไม่กล้าพูดแบบนี้ มันบอกไม่ถูก มันไม่สมควรจะใช้เลยดีกว่า ถ้าเจ็บเดี๋ยวก็หายไป แต่มันไม่สมควรจะใช้ดีกว่า

ความชื่นชอบในตัวพี่คิ้มจะลดลงมั้ย?

จิ๊ก : ลดลงมั้ย พี่มีเทปของเขาเยอะมาก เพราะพี่ปลื้มเขามาก ตอนนี้ปลื้มอย่างไรพี่ก็ปลื้มเขาอยู่ พี่ไม่เคยโกหก ไม่อยากใส่ใจ แต่พี่จะบอกว่าคนเดินทางสายเดียวกัน ต้องคอยให้เกียรติกัน อย่างน้อยถ้าลงมาอยากแซวอะไรขำๆ ก็แซวไปเถอะไม่มีใครว่า แต่บนเวทีแล้ว ต้องมีวิจารณญาณที่ดีนิดหนึ่ง ต้องคิดว่าคำนี้สมควรมั้ย ไม่ต้องเอาคนอื่นมาพูดถึง อย่าง หอย ปู ปลา ธรรมชาติ พูดไปเถอะ เพราะไม่มีตัวตน พอพูดไปแล้วคนอื่นจะพูดอย่างไร อาจจะสนุกปากกับคนบางคน แต่อีกคนกลับเดือดร้อน เพราะคนนั้นเขาเสียใจ คนที่เคยรักมามันก็จางหายไป

แล้วเจ้าของร้านมีมาเคลียร์อะไรกับเราบ้างมั้ย?

จิ๊ก : เขาก็ตกใจ เจ้าของร้านก็ช่วยกัดให้เลย เขาก็โกรธ ทำไมคุณแซวแบบนี้ เจ้าของร้านก็เลยโกธร อันนี้พี่ไม่ขอพูดให้ไปถามเจ้าของร้านเอง เดี๋ยวจะยืดยาวกันไปอีก เอาแค่ตรงนี้ เอาแค่พี่กับเขาพอ เจ้าของเป็นกะเทยเขาจะแซวอย่างไรคิดดูสิ

แล้วได้ถามเจ้าของมั้ยว่าจะไม่จ้างพี่คิ้มอีก?

จิ๊ก : จริงแล้ว พี่คิดว่าพี่คิ้มก็มีความสามารถอยู่แล้ว เรื่องแค่นี้ก็คงไม่ได้ทำร้าย คิ้มจะไม่มีงาน พี่คิดว่ามันเป็นคำพูดมากกว่า ที่ตัวพี่คิ้มเองควรที่จะรับรู้ แล้วควรถามตัวเองนิดหนึ่งว่าตั้งแต่ก้าวแรกมาพี่คิ้มน่ารักอย่างไร พี่คิ้มกลับไปน่ารักแบบนั้นดีกว่า กั้นว่าอยู่เวทีที่แรงๆ มันก็ไม่ดีเสมอไป ความรู้สึกพี่คิดนะ

คิดว่าที่เขาแซวแรงเป็นเพราะแซวแรงหรือเขาดื่ม (ดื่มเหล้า) ถึงเกิดความเมาหรือเปล่า?

จิ๊ก : ถ้าพี่ไปถามเขา เขาก็บอกว่าเขาเมา พี่ว่าการที่เมาก็ไม่ควรขึ้นเวที มันยิ่งไม่มีสติ ถ้ารู้ว่าตัวเองไม่พร้อม ก็บอกเจ้าของว่าคิ้มไม่ไหว อันนี้ไม่สมควรขึ้นเลย เมาก็ยังไม่สมควรขับใช่มั้ย ถ้าเมาแล้วก็ไม่สมควรจะพูด ก็ยิ่งหนักขึ้นไปใหญ่เลย

แล้วยังจะสามารถร่วมงานกันได้มั้ย?

จิ๊ก : พี่ไม่มีปัญหา ไม่เอาเรื่องพี่คิ้มมาใส่ใจ แบบว่ามีพี่คิ้มต้องไม่มีพี่ ไม่ใช่เลย เพียงแต่ว่าอยากจะบอกกับน้อง ว่าวันนี้พี่ก็จะพูดอย่าง วันหน้าก็จะพูดอย่างนี้ อยากให้จบกับพี่คนเดียวแล้วกัน อย่าใช้วาจากับคนอื่นอีกต่อไป มันไม่สมควรอย่างยิ่ง

แล้วทางนั้น (พี่คิ้ม) รอเช็กว่าพูดจริงหรือเปล่า?

จิ๊ก : ได้เลยค่ะ เพราะมีตัวตนอยู่หลายคนมากๆ พี่มีพยานเยอะมาก ทั้งนั้นที่อยู่ในงาน ที่ไปในงาน พี่ปุ๋ย น้องเอบี ที่เป็นกะเทยที่เคยเล่นเรื่องสตรีเหล็กก็อยู่ในงาน แจ็ค จิว ที่เป็นนักร้อง หลายคนมากที่ตกใจ ทุกคนก็ได้บอกพี่ว่าอย่าถือสา ไม่ต้องชมเทป พี่คงไม่ อยู่ๆ ก็มาโคมลอยข่าว เพื่อให้อยู่มีตรงนี้ ถ้าเป็นอย่างนี้ให้พี่ไปสร้างกระแสข่าวอย่างอื่นดีกว่า ซึ่งไม่ต้องการให้เป็นเรื่องแบบนี้ดีกว่า ไม่อยากให้เกิดเรื่อง แต่เกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องลงให้ถูก ไม่ต้องการให้ข่าวผิดพลาดออกไป พี่ก็ไม่ค่อยถูกพวกน้องๆ ถึงอยู่แล้ว จะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีอยู่แล้ว แต่พี่ก็ไม่ได้อะไรทั้งสิ้น อย่างเดียวคือความเป็นจริง วันหลังเขาจะได้รู้ว่าอะไรควรพูดหรือไม่ควรพูด ต้องดูกาลเทศะ รู้เวลา รู้หน้าที่ รู้คำพูด

แล้วถ้าพี่คิ้มติดต่อมาขอโทษล่ะ?

จิ๊ก : พี่ไม่ต้องการให้มาขอโทษ ไม่ได้ทำให้พี่ดีขึ้นมา ไม่ได้ทำให้พี่สบายใจ หรือทำให้พี่เป็นเลิศ ไม่ใช่พี่ต้องการให้เขารู้ความจริงว่าเขาพูด แล้วเขาไม่สมควรพูดอีกนะ อะไรก็แล้วแต่อย่ากับคนอื่น ไม่อย่างนั้นก็ต้องมาฟ้องร้อง เป็นเรื่องยืดยาวขึ้นมาอีก มันไม่มีประโยชน์หรอก ตอนนี้ใส่ใจตัวเองดีกว่า

มันจะสายไปมั้ย ถ้าเขามาขอโทษ?

จิ๊ก : พี่ว่าทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีคำว่าสายหรอก แต่คำว่าสายกับคำว่ารู้ตัวมันผิดกันนะ พี่อยากให้เขารู้ตัวมากกว่าสาย สายมันใช้ได้ทั่วไป รู้ตัวดีกว่ามันสำคัญมากกว่า รู้กาลเทศะ กับรู้ตัวพี่ว่ามันสำคัญกว่า มันต้องมีบ้างนะเพราะมันมีงานใหญ่โต มันต้องสำรวมนิดหนึ่ง มีสติดีๆ คำนี้ไม่ควรนะ ก็ต้องคิดนิดหนึ่ง เราอยู่สายทางบันเทิงเดียวกัน เดี๋ยวก็ต้องไปเจอกันตามงาน

ถือว่ามองหน้ากันติด?

จิ๊ก : ติด พี่ไม่เคยโกรธใคร ถึงแม้พี่จะมีข่าวกับใคร พี่เจอพี่ก็ต้องวิ่งไปหาเขา ถึงเขาไม่ได้มาทักพี่ พี่ก็ไปทักเขา เพราะพี่ไม่ได้เป็นคนโกรธคน มันไม่ได้เป็นการดีขึ้น แต่อยากให้รู้ตัวว่ามันไม่ดีนะ ถ้าเกิดผิดพลาดอะไร ก็อยากให้ใครๆ มาให้อภัยพี่ ใครจะว่าพี่ติงต๊องอะไรพี่ก็โอเค

เรื่องนี้อยากให้จบอย่างไร?

จิ๊ก : ตัวคุณคิ้มยังไม่ได้ให้ข่าวอะไรเลย ก็เห็นน้องบอกว่าคุณคิ้มกำลังรอเทปอยู่ ก็ให้เขาเช็กดู

จากนั้นผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์ไป ยัง ”ปุ๋ย-นิทัศน์ ธำรงค์” หุ้นส่วนร้าน Fake cub อตก. ว่าเหตุการณ์ที่ร้านวันนั้นเป็นเช่นไร ซึ่งหุ้นส่วนร้านได้เล่าให้ฟังว่า

ปุ๋ย : คือมันก็ผ่านมาประมาณสองเดือนแล้วนะ วันนั้นเป็นวันเลี้ยงฉลองครบรอบหนึ่งปีของร้าน Fake cub ก็ได้เชิญพี่จิ๊กมา พี่จิ๊กก็ถามว่ามีใครมาบ้างก็บอกว่ามากันหลายคน มีพี่คิ้มก็มาร้องเพลงด้วย พอพี่จิ๊กรู้ว่าพี่คิ้มมาแกก็ตกลงมาเลยเพราะว่าเค้าปลื้มพี่คิ้ม ซึ่งการแซวบนเวทีนั้นแซวจริง แต่คิดดูแล้วก็เป็นแคแรกเตอร์ของพี่คิ้ม แต่ครั้งนี้อาจจะเผลอแซวแรงไปหน่อย ซึ่งตอนนั้นพี่จิ๊กแกก็ไม่ได้มีท่าทางโกรธมากมาย และก็ไม่ได้ไปวีนหน้าเวทีอย่างที่เป็นข่าว ซึ่งพี่จิ๊กยังฟังพี่คิ้มต่ออีกประมาณสองเพลงแกก็กลับ บอกว่ารับไม่ได้ ถ้าถามว่าจะจ้างพี่คิ้มมาร้องเพลงที่ร้านอีกมั้ยนั้นก็ไม่มีปัญหา พวกเราชอบเค้า

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

"เจนนิเฟอร์ คิ้ม" โผ่ลโชว์ตัวแต่ยังปิดปากเรื่องแซว "จิ๊ก เนาวรัตน์" เป็นกระ....รี่

"เจนนิเฟอร์ คิ้ม" โผ่ลโชว์ตัวแต่ยังปิดปากเรื่องแซว "จิ๊ก เนาวรัตน์" เป็นกระ....รี่ อ้างขอพูดในงานอีเว้นท์วันที่ 13 นี้ แต่ไม่วายไปแก้ต่างบนเวทีว่า เป็นคนรู้จักกาละเทศะ

หลังจากนักแสดงรุ่นใหญ่ “จิ๊ก เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์” ก็ได้ออกมาเปิดใจถึงเรื่องที่โดนนักร้องสาว "เจนนิเฟอร์ คิ้ม" แซวเป็นกระ_รี่รุ่นพี่ไปแล้วว่า โดยยืนยันไม่ได้เป็นคนปล่อยข่าวเพื่อสร้างกระแส แย้ง หากอยากดังคงออกรายการไปตั้งแต่ตอนแรกที่มีเรื่อง พร้อมเผย ผ่านมา 2 เดือน ยังไม่ได้รับการติดต่อใดๆ จากนักร้องสาวคู่กรณี หลังจากนั้นคู่กรณีก็ยังเก็บตัวเงียบไม่ออกมาพูดอะไรทั้งสิ้น มีเพียงผู้จัดการส่วนตัวที่ออกมาพูดว่าจะขอเชคเทปวันงานก่อนว่าได้พูดจริง หรือไม่

แต่ล่าสุดเมื่อวานนี้(10/พ.ค/52) นักร้องสาวปากกรรไกรก็ได้ไปแสดงคอนเสิร์ตร้องเพลงในงาน "SCIB Up Up & Away Thank You Concert" ร่วมกับ "ตุ๊ยตุ่ย พุทธชาติ" "โอปอล์ ปาณิสรา" "โก้ มิสเตอร์แซ็กแมน" โดยจัดขึ้นที่ร้าน "Retro live cafe" "ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิต์" โดยภายในงานจะเป็นการเลี้ยงขอบคุณลูกค้าของ "ธนาคารนครหลวงไทย"

โดยงานนี้นอกจากนักร้องรุ่นใหญ่จะโชว์พลังเสียงจนได้รับเสียงปรบมือ จากผู้ชม ก็ยังเรียกความฮือฮาด้วยกันกัดตัวเองเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นบนเวที

"วันนี้ดิฉันไม่ได้มาแค่คนเดียวนะคะ มีผู้หญิงอีกสองคน(ตุ๊ยตุ่ย กับ โอปอลล์) แต่ถ้ามายืนอยู่ตรงนี้จะทำให้สถานที่นี้ดูแย่ลงไปอีกไหมคะ(หัวเราะ ) ลำพังดิฉันคนเดียวภาพพจน์ช่วงนี้ก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นะ" พูดจบเจ้าตัวก็เอามือขึ้นปิดหน้าและหัวเราะชอบใจ เล่นเอาคนดูส่งเสียงกรี๊ด และพูดต่อว่า

"และยิ่งมามีพวกเดียวกัน มาอยู่ด้วยกันตัวจริงมันจะออกอีก แต่ทุกคนก็ทราบดีนะคะว่า โดยทั่วไปแล้วดิฉันก็ไม่ได้ใช้ภาษานี้นะคะ เพราะปกติอยู่บ้านพูดจาหยาบคาย แต่อยู่ข้างนอกจะพูดจาดีโดยเฉพาะบนเวทีนี้ (หัวเราะ) ไม่ใช่(เสียงสูง)นะคะไม่ใช่ สิ่ง หนึ่งที่ทำให้ดิฉันยืนอยู่ได้ทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งคือดิฉันมีกาลเทศะ แต่เรื่องราวหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรเดี๋ยวค่อยว่ากันทีหลังนะคะ เว้นวรรคกันไว้นิดหนึ่ง ช่วงนี้เรามามาสมานฉันท์กันดีกว่า ขำ สมาฉันท์กันนิดหนึ่ง โรคไข้หวัดหมูหวัดแมวมันเต็มไปหมดแล้วนะคะ เราจะทำกันยังไง เราควรปลุกจิตสำนึกกันนิดหนึ่งนะคะ ก็ต้องขอปรบมือดังกับผู้หญิงสองคนนี้ แล้วตุ๊ยตุ่ยกับโอปอล์ก็ขึ้นมาโชว์เพลงบนเวทีต่อจากสาวคิ้ม"

พอทั้งร้องทั้งจิกกัดบนเวทีสร้างเสียงหัวเราะจบ เจนนิเฟอร์ คิ้ม ก็เดินลงเวที ด้านนักข่าวก็กรูกันไปรอที่ประตูเพื่อที่จะสัมภาษณ์ แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็ออกมาพูดเพียงสั้นๆ ว่า
" ขอไว้พูดงานนั้นนะ งานอะไรสักอย่างของคุณก้อง ปิยะ แล้วเขาให้ไปก็อยากช่วยเพื่อนนิดหนึ่ง ยังไงก็วันนั้นเนอะ ขอโทษด้วยวันที่ 13 พ.ค. 4 โมงเย็น ที่เซ็นทรัลเวิล์คคะ แล้วอย่างวันนี้ไม่ได้พูดสักคำเลยว่าอะไร มีข่าวออกไปก็ เอ้า อะไร ขอโทษจริงๆ ขอโทษที่ทำให้เสียเวลา ขอพูดวันนั้นดีกว่าเนอะ ขอบคุณนะคะ"

ส่วนความคืบหน้าจะเป็นอย่างไร นักร้องสาวจะออกมาแก้ตัวอย่างไรต่อไปทาง “ASTVผู้จัดการออนไลน์” จะติดตามมานำเสนอต่อไป

ที่มา ผู้จัดการออนไลน์

จิ๊ก ไม่ถือสา คิ้ม กัด กะหรี่! แขวะระวังตายเพราะปาก

กลายเป็นศึกเกาเหลารุ่นใหญ่ไปโดยปริยาย! ทั้งนี้ได้มีกระแสข่าวร่ำลือกันหนาหูว่า "จิ๊ก-เนาวรัตน์" ได้เปิดศึกกินเกาเหลากับ "เจนนิเฟอร์ คิ้ม"

หลังเกิดอาการควันออกหูไม่ พอใจที่ถูกนักร้องสาวพูดแซวแรงบนเวทีว่าเป็น "กะหรี่"ในวันเปิดผับชื่อดังย่านอตก. ซึ่งทันทีที่ได้ยินคำพูดดังกล่าวเจ๊จิ๊กถึงกับลุกเดินออกจากโต๊ะและตรงกลับ บ้าน ปล่อยให้เหล่าเพื่อนตุ๊ดเก้งกวางต้องออกโรงปกป้องเคลียร์เรื่องดังกล่าวกับ เจ๊คิ้ม
อย่างไรก็ตามเมื่อสอบถาม เรื่องนี้กับเจ๊จิ๊ก เจ้าตัวได้เล่าเหตุการณ์ให้ฟังพร้อมแจงว่า ตนไม่ได้โกรธนักร้องสาว เพียงแต่ตกใจเพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครว่าตนเป็นกะหรี่สักครั้ง
" จริงๆ ตัวพี่เป็นคนที่รักและศรัทธาในตัวพี่คิ้มมาก ชอบที่เขาตลกดีและน่ารัก คำพูดคำจาก็ต่อกรได้เก่งกับคนดู มันทำให้เราฟังแล้วเพลิน พอดีวันนั้นเพื่อนพี่เชิญพี่ไปร่วมงานเปิดผับ ส่วนพี่คิ้มก็ถูกเชิญไปร้องเพลง พี่คิ้มก็พูดบนเวทีว่า "อุ๊ย...สวัสดีค่ะ วันนี้เก้งกวางเต็มไปหมด กะเทยเฒ่าๆ ก็มี กะหรี่อย่างฉันก็ดีใจมากภูมิใจมากที่ได้มางานอย่างนี้" พี่นั่งฟังอยู่ก็หัวเราะ แต่พี่จะมีเพื่อนตัวใหญ่ๆ นั่งอยู่ด้วย ก็เอาตัวเพื่อนมาบังเพื่อไม่ให้พี่คิ้มเห็น เพราะกลัวเขาจะแซว เราไม่อยากให้เขาแซว แต่ปรากฎเขาดันเหลือบมาเห็นพี่ก็เลยพูดว่า "อุ๊ยตายกะหรี่อีกตัวนั่งอยู่ตรงนี้" พี่ก็ตกใจ เพราะในชีวิตพี่ตั้งแต่เด็กมาจนแก่ขนาดนี้ ไม่เคยมีใครมาว่าพี่เป็นกะหรี่"
" พี่ก็ไม่เข้าใจพี่คิ้มตรงนั้นว่าเข้าใจว่าพี่เป็นกะหรี่จริงๆ หรือมาแซว แต่น้องที่เป็นตุ๊ดกะเทยที่อยู่ในงานวันนั้นได้ลุกมาขวางพี่แล้วพูดว่า ทำไมพี่คิ้มแซวแบบนี้มันแรงไป พี่ก็เลยลุกกลับบ้านเลย และพี่ก็น้ำตาตกในตอนขับรถกลับบ้าน เราพยายามถามคำถามตัวเองว่าทำไมไม่ลุกขึ้นแล้วไปถามพี่คิ้มเลยว่า ที่พูดจริงหรือเล่น แต่พี่ก็ไม่กล้าทำเพราะให้เกียรติเขา กลัวเขาจะเสียหน้า ซึ่งพี่คิดว่าพี่คิ้มอาจจะอยู่ในช่วงเอนเตอร์เทนคนบนเวที ซึ่งตรงนั้นบางครั้งอาจจะสนุก บางครั้งอาจจะแรง พี่คิ้มอาจจะลืมตัวไปบ้างในบางครั้ง ถึงพี่กับพี่คิ้มไม่ได้สนิทกันเลย แค่เจอก็ทักทายกันธรรมดาเฉยๆ แต่พี่ไม่โกรธเพราะรู้ว่ามันอาจจะเพลินไปนิดหนึ่ง แต่ถ้าไปเพลินกับคนอื่นที่เขาอาจจะลุกขึ้นมาตบ หรือลุกไปถามทันทีอาจจะฟ้องร้องขึ้นศาล มันเสียเงินเสียทองยิ่งเสียเวลาไปกันใหญ่"
เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่า หลังเกิดเรื่องได้มีโอกาสพูดคุยเคลียร์กับอีกฝ่ายหรือไม่ ดาราสาวรุ่นใหญ่ชี้แจงให้ฟังว่า
"ไม่คุย พี่ไม่คุยเลย อย่างที่บอกพี่รักพี่คิ้มมาถึงตอนนี้ก็ไม่ได้เสื่อมศรัทธาที่จะไม่รัก ความรู้สึกเราก็เหมือนเดิม เพียงแต่เสียความรู้สึกนิดหน่อยเท่านั้นเอง และเรื่องนี้พี่ก็ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง มีแต่คนมาถามและมีหลายรายการพยายามจะเอาพี่ไปสัมภาษณ์ แต่พี่ไม่ต้องการมีศัตรู พี่อยู่ในวงการนี้ซึ่งในวงการก็มีไม่กี่คนที่รักกัน เราก็ไม่อยากไปเฉาะเรื่องให้คนอื่นเห็นว่าภาพพจน์เราไม่ดี แต่พี่อยากบอกว่าคำพูดของคนบางคนไม่ว่าจะเป็นข้างล่างหรือบนเวที มันควรจะเจียรไนคำพูดหน่อยและต้องดูคนในการพูด บางครั้งมันอาจจะคนองปากหรือพูดให้เพื่อคนอื่นขำ แต่บางคนจะเสียหน้าและถูกดูถูก คำพูดว่า "กะหรี่" ไม่สมควรเอามาพูดเลย"
" อย่างที่บอกพี่ไม่โกรธพี่คิ้ม เพราะพี่โกรธใครไม่เป็นเราแค่ตกใจอย่างเดียว เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้ยินและไม่เคยมีใครมาว่าเราขนาดนี้และพี่ก็ไม่ ได้ต้องการให้ใครมาขอโทษพี่แต่พี่อยากเตือนสติใครก็แล้วแต่ว่า วาจาคุณสำคัญที่สุดในชีวิตมนุษย์ คำพูดคำเดียวอาจทำให้คนคนนั้นหมดไปจากใจได้ บางครั้งคนเราก็ตายเพราะคำพูดได้นะ อย่างหมองูยังตายเพราะงู บางครั้งปากเราเก่งเราก็อาจจะตายเพราะปากได้ พี่ไม่ต้องการคำขอโทษ เพราะคำขอโทษก็ไม่ได้ทำให้ดูดีขึ้นมา พี่ก็ไม่ใช่คนดีดักอะไรนัก แต่พี่อยู่ในวงการมานาน ความรู้สึกของพี่คำพูดแบบนี้มันพูดกับใครไม่ได้แน่นอน ก่อนจะขึ้นเวทีขอให้กลั่นกรองคำพูดนิดหนึ่ง โอเค.ตอนอยู่ข้างล่างไม่เป็นไรเพราะไม่มีใครได้ยิน แต่พอขึ้นเวทีแล้วถือไมค์ เสียงมันจะดังกังวานทั่วไปหมดแล้วมาพูดว่า อุ๊ย..กะหรี่อีกตัวอยู่ตรงนี้ แล้วกะหรี่คนนั้นก็คือพี่ ทั้งที่พี่อุตส่าห์หลบแล้ว เพราะรู้ว่าเขาเป็นคนจิกคนและทักคนแรง"
" บางครั้งคนอาจเห็นพี่บ้าๆ บอๆ ติงต๊อง แต่พี่ไม่เคยโกรธใครที่มาว่าพี่แบบนั้น เพราะพี่เป็นจริง แต่พี่มีครอบครัวมีตระกูลมีพี่น้อง บางครั้งถ้าเขาได้ยินคำนี้เขาอาจจะโกรธแทนพี่ ดังนั้นอยากให้เขาใช้คำพูดแบบนั้นกับพี่เป็นคนสุดท้าย อย่าเอาไปใช้กับคนอื่นอีกต่อไป และพี่อยากเตือนสตินิดหนึ่ง เพราะคนเราถ้าไม่มีใครเตือนสติก็จะไม่รู้ตัว เตือนไว้ก็ดีเหมือนกัน อย่างพี่ถ้าถูกใครเตือนจะไม่โกรธนะ พี่จะได้รู้ว่ามีการผิดพลาด และรู้ว่าใครที่เราเล่นได้หรือไม่ได้ ถึงพี่จะเป็นคนบ้าๆ บอๆ ไม่สมประกอบ แต่พี่จะเจียรไนคำพูดที่สุด แม้กระทั่งใครที่ทำอาชีพนี้จริงๆ พี่ยังไม่กล้าเรียกเขาแบบนี้เลย พี่คิดว่าคำนี้ไม่น่าจะมีในใครเลย แม้กระทั่งตัวเองก็ไม่น่าเรียกตัวเองว่ากะหรี่ จำไว้ว่าคำพูดของเราศักดิ์สิทธิ์มาก ถ้าเรามองตัวเองเป็นอย่างนี้แล้ว คนอื่นจะไม่มองเรายิ่งกว่านี้หรือ เราต้องมองตัวเองให้ดูดีและเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าเรามองตัวเองตกต่ำ คนอื่นจะคิดว่าเราขนาดไหน"
ที่มาข้อมูล : Gossip Star