Monday, October 6, 2008

เจนนิเฟอร์ คิ้ม กับรักแท้ที่หาไม่เจอ


ถ้า เอ่ยชื่อ “ไก่-พรพรรณ ชุนหชัย” หลายคนคงสงสัยว่าเธอคนนี้เป็นใคร แต่ถ้าพูดถึง “เจนนิเฟอร์ คิ้ม” ทุกคนคงนึกถึงผู้หญิงตาเล็ก ๆ หน้ากลม ๆ ที่มีเสียงหัวเราะเป็นอาวุธคู่กาย แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า ชีวิตของเธอผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วมากมาย ทุกอย่างต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและน้ำตา หล่อหลอมขึ้นมาเป็น เจนนิเฟอร์ คิ้ม ที่เป็นที่รู้จักในวันนี้ “ดาวต่างมุม” จึงไม่พลาดที่จะดึงเธอมาพูดคุยบอกเล่าประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมาในชีวิต

อยากให้เล่าชีวิตในวัยเด็กหน่อยว่าเป็นอย่างไร
- เราเกิดมาในครอบครัวจีน โตมาตามแบบแผนชีวิตของคนจีนทั่วไป พ่อมีเมีย 3 คน เราเป็นลูกเมียน้อยอย่างเต็มภาคภูมิ แต่ไม่เคยรู้สึกว่า เป็นลูกเมียน้อยแล้วได้อะไรน้อยกว่าลูกคนอื่น ๆ เพียงแต่รู้สึกว่าต้องแบ่งกันแค่นั้นเอง พ่อมีเมีย 3 คน แม่แต่ละคนมีลูก 4 คน รวมกัน 12 คน ถ้าเป็นผู้ชายธรรมดาคงเลี้ยงลูกเยอะขนาดนี้ไม่ไหว บ้านอากงอยู่ตรอกสลักหิน เราเปิดบ่อนไพ่นกกระจอก ลูก ๆ อากงก็เป็นนักการพนันหมด

การที่เติบโตมาในครอบครัวนักการพนันทำให้เราได้อะไร
- เราซึมซับนิสัยกล้าได้กล้าเสียมา เราไม่เคยเล่นการพนัน แต่ด้วยความที่ขลุกอยู่ในวงการนี้ทำให้เป็นคนคิดอะไรข้ามช็อต เป็นคนหมดตัวไม่กลัว นี่คือสิ่งหนึ่งที่ได้จากเตี่ย นอกเหนือจากหน้าตาที่เหมือนกันมาก จับเตี่ยใส่วิกถือไมค์นี่เป็นคิ้มเลยนะ ขณะเดียวกันเตี่ยก็สอนว่าต้องซื่อสัตย์ ซึ่งมันตรงข้ามกับนิสัยนักการพนันทั่วไป และเตี่ยมักพูดเสมอว่า คนเราแข่งอะไรแข่งได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนากันไม่ได้ ตอนเล็ก ๆ เราไม่เคยเชื่อหรอก เคยแข่งโน่นนี่กับคนอื่นบ้าง แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นอย่างที่เราหวัง ทำให้เรารู้ว่าคำที่เตี่ยสอนเป็นเรื่องจริง การเป็นลูกครอบครัวแบบนี้ ทำให้ไม่รู้จักคำว่าที่หนึ่ง แต่ก็ไม่รู้จักคำว่าที่ 2 ทำให้เราอยู่ในสภาวะที่พอดี แม้จะอยู่ในช่วงสภาวะขุ่นมัวแค่ไหนก็ยังปรับตัวได้

แสดงว่าดำเนินชีวิตตามคำสอนเตี่ย
- ใช่ แต่เราก็ต้องดูสถานการณ์รอบข้างด้วย อย่างแต่ก่อนเวลาไปเรียน คนโน้นคนนี้สวย มีเอว ตาโต แต่เราหัวเถิก ๆ ตาหยี ๆ ก็รู้สึกเปรียบเทียบเหมือนกัน แต่ไม่รู้สึกว่ามันจะลำบากอะไรนักหนา เราทำความเข้าใจว่า เราอยู่ในหมวดที่ขี้เหร่ ถ้าจะให้ดูเป็นมนุษย์ปกติต้องแต่งหน่อย แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ เราจะคิดเสมอว่าทำยังไงเราถึงจะเป็นคนที่คนอื่นจำได้ ไม่ต้องถึงขนาดรัก และวิธีที่ทำให้คนจำเราได้ คือ คุยสนุก ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่รู้หรอกว่านี่คือจุดทดแทนของเรา และเป็นคนชอบร้องเพลง พอเราร้องเพลงปุ๊บไม่มีคนสนใจหน้าเราหรอก จะพูดแต่ว่า ร้องเพลงเพราะ เสียงดีจัง

มาร้องเพลงได้อย่างไร
- ที่บ้านฟังเพลงจีนตั้งแต่เด็ก เราไม่เคยคิดจะประกอบอาชีพนี้เลย แต่จับพลัดจับผลูจริง ๆ ตอนเรียนก็ไปสมัครร้องเพลงที่ร้านอาหาร คิดว่าไปร้องแล้วได้ตังค์ จากนั้นก็มีคนจ้างเรื่อย ๆ กลายเป็นว่าจะเลิกก็เลิกไม่ได้ แต่พอร้องไปเรื่อย ๆ ก็มีคนอื่นเข้ามาแทน ซึ่งบางคนหน้าตาอาจแค่ดีกว่าเรา แต่เสียงไม่ได้เรื่อง ทำไมเขาได้เงินเยอะกว่า หรือบางคนแค่ชนะการประกวดมาเวทีเดียว เงินพุ่งขึ้นมาชั่วโมงละเป็นพัน แต่เรายังแค่ 500-600 บาทต่อชั่วโมงอยู่เลย เราก็ตะเกียกตะกายหาที่ประกวด เพราะคิดว่าอย่างน้อยก็น่าจะได้สายสะพายมาบ้าง แต่ก็เปล่าเลย ไม่เคยถึงรอบ 10 คนสุดท้าย แค่ได้ออกทีวีเท่านั้น เงินก็กระเตื้องขึ้นมานิดนึง

ก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงได้ยังไง
- ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งช่วยเหลือ ได้ออกอัลบั้มชุดแรกเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วกับ สโตน เอนเตอร์เทนเม้นท์ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็ต้องกลับไปร้องเพลงที่ค็อกเทลเลานจ์ ร้องอยู่นานจนกระทั่งทำไมเราอยู่กับที่ แต่โชคดีหน่อยตรงที่เริ่มมีงานมาจ้าง แต่ก็ได้เงินไม่เยอะ เพราะคนจัดงานไม่รู้จะไปพรีเซนต์กับลูกค้าว่าเราเป็นอะไร จนมาเจอ “โก้ มิสเตอร์แซ็กแมน” ทำอัลบั้มชุดแรก ก็ดึงเราไปร้องเพลง “คิดถึงเธอทุกทีที่อยู่คนเดียว” ซึ่งช่วงออกใหม่ ๆ ก็ไม่ดังนะ แต่มาดังหลังจาก หนึ่งปีให้หลัง นั่นคือ ก๊อกที่สองมีออกอัลบั้มอีกครั้ง เหมือนเป็นการปลุกผีของเรา

รู้สึกว่าชีวิตเป็นกราฟ “ขึ้น-ลง” ตลอด มีท้อบ้างมั้ย
- เจอจนร้องไห้เป็นนิสัยเลย แต่หลัง ๆ ไม่ร้องแล้วจะบอกกับตัวเองว่า อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด อย่างสมัยร้องเพลงใหม่ ๆ เคยหอบโน้ตเพลงเดินเข้าไปในร้านที่เราร้องอยู่ประจำ แต่จู่ ๆ เจ้าของร้านก็บอกให้เราไปรับเงินที่ฝ่ายบัญชี เพราะเขารับคนใหม่แล้ว เราร้องไห้ไปตลอดทางประมาณว่า ฝนหยุดแล้วเรายังไม่หยุดร้องเลย เราเป็นคนที่ถูกปฏิเสธตลอด ไม่ว่าจะเป็นความรักหรืองาน เรื่องความรักไม่ว่าหรอกมันเป็นเรื่องของใจ แต่เรื่องงานทำไมถึงไม่เอาความสามารถมาวัดกัน จนเราก็ลองมาคิดกลับกันว่า ถ้าเราเอาเด็กผู้ชายหน้าตาดีและหน้าตาไม่ดีมายืนเทียบกัน เราจะถูกใจหรือมองใครมากกว่า เราจึงรู้สึกว่ามันเป็นธรรมดาที่จะเลือกคนหน้าตาดี เราน่าจะภูมิใจที่เราเป็น “เจนนิเฟอร์ คิ้ม” คนอื่นเขาไม่ได้เจออย่างนี้

แต่สุดท้ายก็มาถึงระดับดีว่าส์ได้ เคยคิด มั้ยว่าจะมีวันนี้
- ทุกวันนี้ชีวิตก็ยังขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ เพราะกราฟชีวิตมันเป็นอย่างนี้ ปกติแล้วเรารู้สึกว่าตัวเองไม่มีตัวตน จะมีตัวตนก็ต่อเมื่อทำงาน วันธรรมดาเราก็เป็นอีเจ้เหมือนเดิม ไม่ได้รู้สึกว่าอะไร แล้วจะไม่เคยปฏิเสธถ้าใครจะขอถ่ายรูปเราอาจจะเป็นนักร้องกลางคืนมาก่อน เจอพวกเสี่ยที่มันบ้าหม้อ ล้วงเด็ก ไม่สนใจเรา มันก็แค่เป็นแรงเก็บกดแรงหนึ่ง อย่างตอนที่ขึ้นคอนเสิร์ต “สโนว์ คิ้มฯ” ตอนที่ได้ยินเสียงปรบมือ ก็จะมีเสียงเข้ามาในหูบอกว่าอย่าไปหลง เก็บเอาไว้เป็นความรู้สึกดี ๆ ในยามท้อแท้ แต่ว่ามันไม่ได้เป็นจุดที่จะอยู่ยั่งยืนกับเรา เรามาจากครอบครัวที่มีชีวิตขึ้น ๆ ลง ๆ มันทำให้เราเห็นสัจธรรม สิ่งที่เราจะทำได้และรู้สึกดีก็คือ เป็นตัวของตัวเอง น่ารักกับทุกคน เราไม่เคยอยากได้ความนิยมชมชอบจากคน แค่ขอโอกาสที่จะแสดงตัวแค่นั้นเอง เหมือนที่พี่ฉอด (สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา) ให้โอกาสเราที่มันใหญ่มาก จากเหวมาสู่ยอดเขา แต่ในขณะเดียวกันเราก็ไม่เคยลืมความรู้สึกตอนที่อยู่ก้นเหว


ณ วันนี้ เงินทองก็มี ชื่อเสียงก็มา คิดจะทำศัลยกรรมมั้ย
- เคยคิดเหมือนกัน แม่บอกให้ไปเสริมจมูก ทำตาสองชั้น จะสวยปิ๊งเลย แต่เราไม่เอาสิ่งที่บอกกับแม่จนแม่เลิกถามแล้วคือ วันที่เราส่องกระจกเราจะได้นึกถึงพ่อเรา ฉันหน้าเหมือนพ่อฉัน อย่างน้อยที่สุดมันเป็นสิ่งเดียวที่ระลึกได้ว่า เราเป็นลูกเตี่ย เป็นลูกที่เตี่ยภาคภูมิใจว่าไม่สวยที่สุด ขี้เหร่ที่สุดในบรรดา 12 คน แต่ฉลาดที่สุดในผู้หญิง พระเจ้าคงให้มาในลักษณะที่เหมาะสมอยู่แล้ว เคยเห็นเพื่อนไปเปลี่ยนชื่อ เราว่าคงไม่มีชื่อไหนที่ประเสริฐเท่าชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้แล้วล่ะ แต่ถ้าเปลี่ยนแล้วยังนิสัยเหมือนเดิม ก็ไม่มีผลอะไร ในเมื่อมีคนให้โอกาสเรา เพราะเขารับที่เราหน้าอย่างนี้นะ มันเป็นโลโก้ไปแล้ว ดังนั้นไม่ต้องทำอะไรแล้ว คนดูคนฟังเขารักเราจากใจ เขาไม่ได้รักที่หน้าเรา เพราะหน้าเรามันไม่ได้น่ารักตั้งแต่เริ่มแล้ว

กับเรื่องความรักล่ะ
- ผู้ชายที่เราเคยเจอ ไม่ได้ขี้เล็บของพ่อเลย ผู้ชายคนไหนที่อยู่กับเราแล้วแตกนิสัยสาวออกมานิดนึง ไม่ต้องเป็นเกย์หรอก เลิกเลย ทุกอย่างในโลกนี้เริ่มต้นใหม่ได้เสมอ แฟนหามาแต่ไหนแต่ไรก็ไม่แมนเลย ผู้ชายสมัยนี้ชอบเอาความชอบมาปะปนความรับผิดชอบ บางคนพูดว่า ฉันอ้วนแก่ แหม!ฉันไปอ้วนบนหัวแกเหรอ ยิ่งพวกลงไม้ลงมือยิ่งไม่แมนหนัก เคยเจอฝรั่งซ้อมจนหน้าน่วมเลย แต่เราก็กลับมาคิดว่า มันคงเป็นกรรมที่เราต้องชดใช้ แต่เราไม่สงสารตัวเองนะ สงสารผู้ชายคนนั้นมากกว่า เพราะการที่ผู้ชายลุกขึ้นมาตีผู้หญิง เป็นการแสดงความอ่อนแอมาก ทุกครั้งที่ชีวิตผ่านจุดยาก ๆ มาก็จะคิดว่า หนี้ตรงนี้ใช้หมดแล้ว ชาตินี้ฉันเสียหมดหน้าตัก ชาติหน้าอย่ามาทวงนะ เวลาเราไปเจอผู้ชายไม่ดี แล้วเลิกกันไป เราถือว่าเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ กลายเป็นต้นกล้าที่เกิดใหม่และแข็งแรงกว่าเดิม หลายคนอาจมองว่าเราน่าสงสารที่ไม่มีใครรักจริง แต่เรามองว่า ฉันรักตัวเองพอแล้ว


รู้สึกยังไงที่ถูกมองว่า “อาภัพรัก”
- ถูกต้อง ตอนอายุ 17-18 ควรมีแฟนได้แล้ว แต่เราก็หน้าตาสู้คนรุ่นเดียวกันไม่ได้ แล้วเราก็เป็นคนปากกล้า รู้อยู่แล้วว่าพูดอะไรไปผู้ชายก็จะเอาเราไปว่า ถึงเราจะทำตัวน่ารัก เขาก็ได้แค่สมเพชเวทนา แต่ไม่ได้รัก ฉะนั้นต้องทำตัวเข้มแข็ง คนอย่างเราไม่รับคำว่า “น่าสงสาร” ไปตลอด เราจะลุกขึ้นมาสร้างความรู้สึกดี ๆ ให้กับตัวเอง เพื่อที่จะปกป้องสิ่งต่าง ๆ ถามว่าถ้าวันนี้เราจะเลือกผู้ชายสักคนมาทำผัว ไม่ต้องกระดิกนิ้วนะ แค่เอาเท้าข้างไม่ถนัดเขี่ยมาก็ได้แล้ว เพราะผู้ชายห่วย ๆ สมัยนี้มันเยอะ เกาะผู้หญิงกิน คนดี ๆ ก็มีคู่ไปหมดแล้ว พวกโสดก็เป็นตุ๊ดแต๋ว อย่าว่าก้าวร้าวเลยนะ แต่ละคนมีวิธีของตัวเอง ชีวิตที่เหลือเราก็อยากอยู่ในแบบของเรา

สาเหตุหลักที่ต้องเลิกกับแฟนเก่าเป็นเพราะอะไร
- เรามีความเป็นตัวเองมาก และไม่มีวันเปลี่ยน ถ้าเมื่อไหร่บอกให้เปลี่ยน ผู้ชายคนนั้นไปฆ่าตัวตายได้ เพราะพอปรับไปสักพักก็รู้ว่าไม่ใช่ เราก็จะถอยกลับ จนเขาคงรู้สึกว่ามีผู้หญิงคนอื่นยอมเปลี่ยนเพื่อเขา เขาก็ไป แต่เราจะเคลียร์ตั้งแต่แรกแล้วว่า ชีวิตเรา พ่อแม่ ญาติพี่น้องและเพื่อนมาก่อนนะต้องยกให้ และจะบอกเลยว่า ฉันไม่ได้ดีอะไร อยากเลิกก็เลิก เพราะไม่อยากให้ใครมาเสียเวลา แต่เวลามีคนโทรฯมาบอกว่าเจอแฟนของเราอยู่กับผู้หญิงอื่น เราก็ไม่สนใจ ไม่ได้กลัวเขานอกใจนะ แต่กลัวเสียหน้า จะบอกแฟนเลยว่า ทำอะไรหลบ ๆ หน่อย เพราะเพื่อนฉันหูตาจมูกไว ไม่ได้หึงนะ ไม่ได้รักเธอขนาดนั้น แต่ไว้หน้าฉันบ้าง ซึ่งมันตรงกับคำที่เตี่ยสอนว่า “เป็นผู้หญิงต้องแกล้งโง่ ตราบใดที่เรายังรักผู้ชายคนนี้อยู่” เรื่องเล็ก ๆ หลับหูหลับตาบ้างจะทำให้เราแฮปปี้ เราสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่า “ฉันจะไม่รักผู้ชายคนไหนมากกว่าตัวเอง” ทุกวันนี้เลยมองหารักแท้ คนที่รักในความเป็นตัวเรา

แต่คนส่วนใหญ่เชื่อว่า ชีวิตคู่คือการปรับตัวเข้าหากัน
- ใช่ แต่ความดีไม่ช่วยอะไร ความสวยมาก่อน ผู้ชายนะดีให้ตายมันก็ไม่มองหรอก เราเคยปัญญาอ่อนคิดจะเอาความดีชนะใจผู้ชาย เคยซื้อวิตามินอย่างดีให้ผู้ชาย เอาไปแขวนไว้หน้าบ้านเขา แล้วก็โทรฯไปบอกว่า “กินซะนะ แทนความเป็นห่วง” พอกินเสร็จมันก็ไปสะเทินน้ำสะเทินบกกับผู้หญิงอื่น จนรู้สึกว่าเป็นตัวเองดีที่สุดแล้ว ถ้าเราต้องทำอะไรออกไป แล้วรู้สึกนับถือตัวเองลดลง เราก็ไม่ทำ

แล้วคิดว่าชีวิตนี้จะมีคนรับตัวตนของเราได้มั้ย
- ไม่มี เราไม่เคยหลอกตัวเอง พอเราไม่โกหกตัวเองทุกอย่างก็จะปรับเลยนะ ความคิดหมุนไปแต่ละวันไม่เหมือนกัน แต่จะมีโครงการที่คิดไว้ว่า ถ้ามีก็คงไม่เอามาทำสามีนะ เอาไว้เป็นเพื่อน จะได้มีช่องว่างระหว่างกันเยอะ ๆ เพราะถ้ายิ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ช่องว่างระหว่างกันยิ่งตีบตัน ดังนั้นเลยคิดว่าอย่ามีดีกว่า ตอนนี้เราจะมองแค่ว่า เงินในบัญชีมีพอใช้ในอีก 10 ปีข้างหน้าหรือเปล่า ตอนนี้ยังมีแรงทำก็ต้องวางแผนชีวิตให้ดี เราเชื่อว่า เงินอาจจะซื้อรักแท้ไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ซื้ออะไรคล้าย ๆ รักแท้ได้ก็พอแล้ว ถึงเราจะปราศจากความรักในเชิงชู้สาว แต่เราก็ศรัทธาในรักแท้นะ และรู้สึกว่าแค่ช่วงเวลาหนึ่งที่เรามีโอกาสได้สัมผัสมันก็พอแล้ว

ถึงวันนี้เธอได้พิสูจน์ให้ทุก ๆ คนได้เห็นว่า ความสามารถที่เธอมีเป็นเสมือนใบเบิกทางที่ดี ทำให้เธอก้าว

No comments: