Tuesday, December 2, 2008
Sunday, November 2, 2008
Friday, October 31, 2008
Thursday, October 30, 2008
Wednesday, October 22, 2008
Saturday, October 18, 2008
Thursday, October 16, 2008
Sunday, October 12, 2008
Tuesday, October 7, 2008
เจนนิเฟอร์ คิ้ม-ธนาคารความสุข
คน ส่วนใหญ่ชอบให้ความสำคัญกับตัวเอง เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เป็นศูนย์กลาง ทำสิ่งใดจึงนึกถึงตัวเองก่อน บางครั้งความสุขก็เป็นเพียงข้ออ้างของความอยากในตัวคน...
"ทำงานหนัก ก็ต้องให้อะไรกับตัวเองเป็นการตอบแทน"...เหรอ?
การให้อะไรกับตัวเอง มันเรียกว่า ความสุขเสมอไปรึเปล่า? ฉันไม่รู้
สำหรับฉันการให้อะไรกับใครๆ ถือเป็นความสุขที่ผู้ให้และผู้รับ รู้สึกได้
"พี่ไก่ ไม่ต้องให้ของขวัญโก้ขนาดนี้ก็ได้ มันมากเกินไป"
โก้ มิสเตอร์แซกแมน เพื่อนแก้วของฉันทำน้ำตาซึมสีหน้าซาบซึ้ง เมื่อรับนาฬิกาจากฉันไปสวม พอดีกับข้อมืออ้วนๆ นั้น พึมพำพร้อมกับลูบๆ คลำๆ ของขวัญนั้น อย่างรู้ซึ้งในคุณค่า
"พี่ไก่ เก็บเงินไว้เยอะๆ นะ พี่ไก่มีภาระเยอะ โก้ไม่มีอะไรต้องห่วงเท่าพี่ไก่"...
" เอาเถอะน่าโก้ พี่ไก่มีความสุขที่ได้ให้ ของบางอย่างที่อยากได้อยากใช้แต่ไม่เหมาะกับพี่ ก็ให้คนที่เหมาะสมไป วันหนึ่งพี่จากไป แต่ความสุขของพี่ยังคงอยู่กับโก้ตลอดไป..."
ฉันทิ้งความหมายของการให้ไว้แบบนั้น ก่อนที่โก้จะซึ้งใจจนน้ำตาไหล
"อยากกินอะไรป้าจะเลี้ยง"
ฉัน บอกเด็กชายวัย 10 ขวบ ที่เดินขายขนมทองม้วน อยู่ในร้านอาหารที่ฉันกับนุชนั่งกินกันอยู่ เด็กน้อยหยุดคิด ก่อนตอบว่า "ขอเอากลับไปฝากแม่ที่บ้าน" ฉันจึงชักชวนให้นั่งกินร่วมกับขณะรอ
"ขนมนี่ทำเองหรือไปรับเขามา" นุชชวนคุยฆ่าเวลา
"ทำเองด้วย แล้วก็รับมาด้วยครับ เพราะแม่ทำเท่าที่ทำได้ บางทีไม่พอขาย..."
เด็กน้อยตอบไปเคี้ยวไส้กรอกที่ฉันตักให้แบบเกรงใจ หันรีหันขวางไปด้วยเหมือนกังวลอะไรอยู่
"มีใครมารอรับรึเปล่า?" ฉันถาม
"พ่อครับ...พ่อผมจะขี่มอเตอร์ไซค์ตอนกลางวัน กลางคืนก็จะขี่พาผมมาขายของ ตอน 4 ทุ่มก็จะพากลับบ้าน ต้องตื่นเช้าไปโรงเรียน"
"แล้วพ่อแบ่งตังค์ให้มั้ย?"
"ให้ครับวันละ 50 บาท"
"อือ...ถ้าให้เลือกกินของที่ชอบตอนนี้จะกินอะไร"
"หมูกระทะครับ พ่อเคยพาไปกินครั้งหนึ่ง กินเยอะเท่าไรก็ได้..."
เด็ก น้อยตอบหน้าซื่อ พอดีกับอาหารที่สั่งไว้ใส่ถุงมาวางตรงหน้า ได้เวลาที่เด็กน้อยจะต้องไปแล้ว ฉันหยิบเงินให้อีก 100 บาท พร้อมกับการไหว้งามๆ ของเด็กน้อยก่อนจากไป
ฉันไม่รู้ว่าสิ่งที่เด็ก เล่าให้ฟังเป็นจริงแค่ไหน ไม่รู้ว่าเด็กจะเอาเงินไปทำอะไร ไม่รู้ว่าอาหารจะถูกนำไปให้ใครกิน แต่ฉัน...มีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำลงไป
ฉัน ได้ฝากความสุขไว้กับธนาคารเล็กๆ อีกหนึ่งแห่ง (คน) ได้อมยิ้มทุกครั้งที่นึกถึง คนแบบฉันทำความสุขให้เกิดขึ้นได้ทุกครั้งที่ต้องการ ไม่ต้องร้องขอความสุขจากใครที่ไหน ฉันชอบความสุขแบบ "เฉียบพลัน" ได้ผลเดี๋ยวนั้นโดยไม่ต้องติดตามผลที่ตามมา...ครั้งหนึ่งเคยซื้อขนมไปฝาก เด็กชาวเขาในวัดแห่งหนึ่งที่เชียงใหม่ ตอนส่งมอบ หลวงพ่อบอกว่า
"พวกโยมเป็นพวกทำบุญโดยเหตุผล ส่วนคนแก่พวกนั้นทำบุญโดยหวังผลในชาติหน้า"
เหตุผล ก็คือความสุขที่ได้จากการให้ ความสุขผ่านรสชาติอร่อยๆ ของขนมหวานๆ เหล่านั้น โดยไม่รู้ว่าชาติหน้าจะไปเกิดเป็นอะไรกันด้วยซ้ำไป
"ชีวิต ช่างแสนสั้น" "ช่วงเวลาของความสุขก็แสนสั้น" เช่นกัน การกอบโกยเก็บกักไว้กับตัว โดยไม่รู้จักแบ่งปัน ความสุขสั้นๆ นั้นก็จะจบลงพร้อมกับชีวิตสั้นๆ ของคนเรา แต่หากหมั่นให้ หมั่นแบ่งปันฝากความสุขนั้นไว้กับผู้คนอีกมากมายในรูปแบบต่างๆ ถึงเราจากไป ความสุขยังคงอยู่ต่อไปให้ใครต่อใครได้เก็บเกี่ยวดอกเบี้ยจากธนาคารแห่งความ สุข...
ตลอดไป...
สายลม Jennifer Kim
อยากขอแค่เพียงสักวัน ให้เราได้มาพบกันเหมือนวันเก่า
แม้ไม่อาจเป็นดั่งใจที่ต้องการ เราต่างรู้
คงไม่นานเกินเฝ้ารอ จะจำไว้เสมอ
เมื่อใดที่สายลมพัด ดั่งมีความรักมาช่วยปลอบความเหงาใจ
ไม่ว่าตัวเธออยู่ไหน ลมจะเป็นเหมือนใจที่ห่วงใยกัน
เพราะรักแท้ก็เป็นเหมือนลมที่โอบกอดฉัน
แม้มองไม่เห็นแต่ฉันรู้สึกถึงเธอ
แค่นึกว่าได้เจอกัน หรือว่าพบในฝัน ฉันก็สุขใจเหลือเกิน
ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอ จะเป็นแบบเดิมและคิดถึงกันหรือเปล่า
แม้ไม่อาจเป็นดั่งใจที่ต้องการ เราต่างรู้
คงไม่นานเกินเฝ้ารอ จะจำไว้เสมอ
เมื่อใดที่สายลมพัด ดั่งมีความรักมาช่วยปลอบความเหงาใจ
ไม่ว่าตัวเธออยู่ไหน ลมจะเป็นเหมือนใจที่ห่วงใยกัน
เพราะรักแท้ก็เป็นเหมือนลมที่โอบกอดฉัน
แม้มองไม่เห็นแต่ฉันรู้สึกถึงเธอ
ลมจะพัดมาจากทิศใดก็ตาม
สายลมเป็นดั่งสายใยเชื่อมใจเราไว้ไม่ขาด
ให้เราผูกพันแม้ต้องห่างไกล
ไม่ว่าตัวเธออยู่ไหน ลมจะเป็นเหมือนใจที่ห่วงใยกัน
เพราะรักแท้ก็เป็นเหมือนลมที่โอบกอดฉัน
แม้มองไม่เห็นแต่ฉันรู้สึกถึงเธอ
แม้มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้เสมอ
ทิน ขอควง คิ้ม ขับเครื่องบินเล็ก เสียว..เหนือฟากฟ้า
คืนนี้ วันนั้น
Monday, October 6, 2008
ไม่ยอมหมดหวัง jennifer kim
เพลง : ไม่ยอมหมดหวัง
ศิลปิน : เจนนิเฟอร์ คิม
ก็เคยฝันใฝ่และเคยมั่นใจในวันนี้
ว่าคงต้องดีต้องเป็นได้ดังที่ตั้งใจ
แต่คนทั้งคนที่เป็นความฝันของหัวใจ
กลับมาทิ้งกันไปต้องสูญสิ้นไปหมดทุกอย่าง
ปวดใจเหลือเกินแต่คงต้องทนข่มความทรมาน
ฉันจะต้องก้าวผ่านตราบฉันยังคงหายใจ
แม้ว่าจะต้องเสียความรักไป
แม้ว่าจะไม่เหลือใครสักคน
มันจะเจ็บจะช้ำกี่หนแต่คนคนนี้ไม่ท้อใจ
แม้ว่าในวันนี้มีน้ำตา
จะข่มมันให้ไหลอยู่ข้างใน
ความฝันนั้นจบไปแต่ยังเหลือตัวฉัน
ก็คงสักวันที่ลมฝนมันจะผ่านพ้น
จะยอมสู้ทนเพื่อรอพบวันที่สดใส
หากมีสักคนสักคนที่ทำให้กันด้วยหัวใจ
ถึงนานสักเท่าไหร่แต่ฉันก็ยังเฝ้ารอ
แม้ว่าจะต้องเสียความรักไป
แม้ว่าจะไม่เหลือใครสักคน
มันจะเจ็บจะช้ำกี่หนแต่คนคนนี้ไม่ท้อใจ
แม้ว่าในวันนี้มีน้ำตา
จะข่มมันให้ไหลอยู่ข้างใน
ความฝันนั้นจบไปแต่ยังเหลือตัวฉัน
แม้ว่าจะต้องเสียความรักไป
แม้ว่าจะไม่เหลือใครสักคน
มันจะเจ็บจะช้ำกี่หนแต่คนคนนี้ไม่ท้อใจ
แม้ว่าในวันนี้มีน้ำตา
จะข่มมันให้ไหลอยู่ข้างใน
ความฝันนั้นจบไปแต่ยังเหลือตัวฉัน
อดทนไว้ก่อนใจ จะไม่ยอมหมดหวัง
เจนนิเฟอร์ คิ้ม กับรักแท้ที่หาไม่เจอ
ถ้า เอ่ยชื่อ “ไก่-พรพรรณ ชุนหชัย” หลายคนคงสงสัยว่าเธอคนนี้เป็นใคร แต่ถ้าพูดถึง “เจนนิเฟอร์ คิ้ม” ทุกคนคงนึกถึงผู้หญิงตาเล็ก ๆ หน้ากลม ๆ ที่มีเสียงหัวเราะเป็นอาวุธคู่กาย แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า ชีวิตของเธอผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วมากมาย ทุกอย่างต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและน้ำตา หล่อหลอมขึ้นมาเป็น เจนนิเฟอร์ คิ้ม ที่เป็นที่รู้จักในวันนี้ “ดาวต่างมุม” จึงไม่พลาดที่จะดึงเธอมาพูดคุยบอกเล่าประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมาในชีวิต
อยากให้เล่าชีวิตในวัยเด็กหน่อยว่าเป็นอย่างไร
- เราเกิดมาในครอบครัวจีน โตมาตามแบบแผนชีวิตของคนจีนทั่วไป พ่อมีเมีย 3 คน เราเป็นลูกเมียน้อยอย่างเต็มภาคภูมิ แต่ไม่เคยรู้สึกว่า เป็นลูกเมียน้อยแล้วได้อะไรน้อยกว่าลูกคนอื่น ๆ เพียงแต่รู้สึกว่าต้องแบ่งกันแค่นั้นเอง พ่อมีเมีย 3 คน แม่แต่ละคนมีลูก 4 คน รวมกัน 12 คน ถ้าเป็นผู้ชายธรรมดาคงเลี้ยงลูกเยอะขนาดนี้ไม่ไหว บ้านอากงอยู่ตรอกสลักหิน เราเปิดบ่อนไพ่นกกระจอก ลูก ๆ อากงก็เป็นนักการพนันหมด
การที่เติบโตมาในครอบครัวนักการพนันทำให้เราได้อะไร
- เราซึมซับนิสัยกล้าได้กล้าเสียมา เราไม่เคยเล่นการพนัน แต่ด้วยความที่ขลุกอยู่ในวงการนี้ทำให้เป็นคนคิดอะไรข้ามช็อต เป็นคนหมดตัวไม่กลัว นี่คือสิ่งหนึ่งที่ได้จากเตี่ย นอกเหนือจากหน้าตาที่เหมือนกันมาก จับเตี่ยใส่วิกถือไมค์นี่เป็นคิ้มเลยนะ ขณะเดียวกันเตี่ยก็สอนว่าต้องซื่อสัตย์ ซึ่งมันตรงข้ามกับนิสัยนักการพนันทั่วไป และเตี่ยมักพูดเสมอว่า คนเราแข่งอะไรแข่งได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนากันไม่ได้ ตอนเล็ก ๆ เราไม่เคยเชื่อหรอก เคยแข่งโน่นนี่กับคนอื่นบ้าง แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นอย่างที่เราหวัง ทำให้เรารู้ว่าคำที่เตี่ยสอนเป็นเรื่องจริง การเป็นลูกครอบครัวแบบนี้ ทำให้ไม่รู้จักคำว่าที่หนึ่ง แต่ก็ไม่รู้จักคำว่าที่ 2 ทำให้เราอยู่ในสภาวะที่พอดี แม้จะอยู่ในช่วงสภาวะขุ่นมัวแค่ไหนก็ยังปรับตัวได้
แสดงว่าดำเนินชีวิตตามคำสอนเตี่ย
- ใช่ แต่เราก็ต้องดูสถานการณ์รอบข้างด้วย อย่างแต่ก่อนเวลาไปเรียน คนโน้นคนนี้สวย มีเอว ตาโต แต่เราหัวเถิก ๆ ตาหยี ๆ ก็รู้สึกเปรียบเทียบเหมือนกัน แต่ไม่รู้สึกว่ามันจะลำบากอะไรนักหนา เราทำความเข้าใจว่า เราอยู่ในหมวดที่ขี้เหร่ ถ้าจะให้ดูเป็นมนุษย์ปกติต้องแต่งหน่อย แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ เราจะคิดเสมอว่าทำยังไงเราถึงจะเป็นคนที่คนอื่นจำได้ ไม่ต้องถึงขนาดรัก และวิธีที่ทำให้คนจำเราได้ คือ คุยสนุก ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่รู้หรอกว่านี่คือจุดทดแทนของเรา และเป็นคนชอบร้องเพลง พอเราร้องเพลงปุ๊บไม่มีคนสนใจหน้าเราหรอก จะพูดแต่ว่า ร้องเพลงเพราะ เสียงดีจัง
มาร้องเพลงได้อย่างไร
- ที่บ้านฟังเพลงจีนตั้งแต่เด็ก เราไม่เคยคิดจะประกอบอาชีพนี้เลย แต่จับพลัดจับผลูจริง ๆ ตอนเรียนก็ไปสมัครร้องเพลงที่ร้านอาหาร คิดว่าไปร้องแล้วได้ตังค์ จากนั้นก็มีคนจ้างเรื่อย ๆ กลายเป็นว่าจะเลิกก็เลิกไม่ได้ แต่พอร้องไปเรื่อย ๆ ก็มีคนอื่นเข้ามาแทน ซึ่งบางคนหน้าตาอาจแค่ดีกว่าเรา แต่เสียงไม่ได้เรื่อง ทำไมเขาได้เงินเยอะกว่า หรือบางคนแค่ชนะการประกวดมาเวทีเดียว เงินพุ่งขึ้นมาชั่วโมงละเป็นพัน แต่เรายังแค่ 500-600 บาทต่อชั่วโมงอยู่เลย เราก็ตะเกียกตะกายหาที่ประกวด เพราะคิดว่าอย่างน้อยก็น่าจะได้สายสะพายมาบ้าง แต่ก็เปล่าเลย ไม่เคยถึงรอบ 10 คนสุดท้าย แค่ได้ออกทีวีเท่านั้น เงินก็กระเตื้องขึ้นมานิดนึง
ก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงได้ยังไง
- ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งช่วยเหลือ ได้ออกอัลบั้มชุดแรกเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วกับ สโตน เอนเตอร์เทนเม้นท์ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็ต้องกลับไปร้องเพลงที่ค็อกเทลเลานจ์ ร้องอยู่นานจนกระทั่งทำไมเราอยู่กับที่ แต่โชคดีหน่อยตรงที่เริ่มมีงานมาจ้าง แต่ก็ได้เงินไม่เยอะ เพราะคนจัดงานไม่รู้จะไปพรีเซนต์กับลูกค้าว่าเราเป็นอะไร จนมาเจอ “โก้ มิสเตอร์แซ็กแมน” ทำอัลบั้มชุดแรก ก็ดึงเราไปร้องเพลง “คิดถึงเธอทุกทีที่อยู่คนเดียว” ซึ่งช่วงออกใหม่ ๆ ก็ไม่ดังนะ แต่มาดังหลังจาก หนึ่งปีให้หลัง นั่นคือ ก๊อกที่สองมีออกอัลบั้มอีกครั้ง เหมือนเป็นการปลุกผีของเรา
รู้สึกว่าชีวิตเป็นกราฟ “ขึ้น-ลง” ตลอด มีท้อบ้างมั้ย
- เจอจนร้องไห้เป็นนิสัยเลย แต่หลัง ๆ ไม่ร้องแล้วจะบอกกับตัวเองว่า อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด อย่างสมัยร้องเพลงใหม่ ๆ เคยหอบโน้ตเพลงเดินเข้าไปในร้านที่เราร้องอยู่ประจำ แต่จู่ ๆ เจ้าของร้านก็บอกให้เราไปรับเงินที่ฝ่ายบัญชี เพราะเขารับคนใหม่แล้ว เราร้องไห้ไปตลอดทางประมาณว่า ฝนหยุดแล้วเรายังไม่หยุดร้องเลย เราเป็นคนที่ถูกปฏิเสธตลอด ไม่ว่าจะเป็นความรักหรืองาน เรื่องความรักไม่ว่าหรอกมันเป็นเรื่องของใจ แต่เรื่องงานทำไมถึงไม่เอาความสามารถมาวัดกัน จนเราก็ลองมาคิดกลับกันว่า ถ้าเราเอาเด็กผู้ชายหน้าตาดีและหน้าตาไม่ดีมายืนเทียบกัน เราจะถูกใจหรือมองใครมากกว่า เราจึงรู้สึกว่ามันเป็นธรรมดาที่จะเลือกคนหน้าตาดี เราน่าจะภูมิใจที่เราเป็น “เจนนิเฟอร์ คิ้ม” คนอื่นเขาไม่ได้เจออย่างนี้
แต่สุดท้ายก็มาถึงระดับดีว่าส์ได้ เคยคิด มั้ยว่าจะมีวันนี้
- ทุกวันนี้ชีวิตก็ยังขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ เพราะกราฟชีวิตมันเป็นอย่างนี้ ปกติแล้วเรารู้สึกว่าตัวเองไม่มีตัวตน จะมีตัวตนก็ต่อเมื่อทำงาน วันธรรมดาเราก็เป็นอีเจ้เหมือนเดิม ไม่ได้รู้สึกว่าอะไร แล้วจะไม่เคยปฏิเสธถ้าใครจะขอถ่ายรูปเราอาจจะเป็นนักร้องกลางคืนมาก่อน เจอพวกเสี่ยที่มันบ้าหม้อ ล้วงเด็ก ไม่สนใจเรา มันก็แค่เป็นแรงเก็บกดแรงหนึ่ง อย่างตอนที่ขึ้นคอนเสิร์ต “สโนว์ คิ้มฯ” ตอนที่ได้ยินเสียงปรบมือ ก็จะมีเสียงเข้ามาในหูบอกว่าอย่าไปหลง เก็บเอาไว้เป็นความรู้สึกดี ๆ ในยามท้อแท้ แต่ว่ามันไม่ได้เป็นจุดที่จะอยู่ยั่งยืนกับเรา เรามาจากครอบครัวที่มีชีวิตขึ้น ๆ ลง ๆ มันทำให้เราเห็นสัจธรรม สิ่งที่เราจะทำได้และรู้สึกดีก็คือ เป็นตัวของตัวเอง น่ารักกับทุกคน เราไม่เคยอยากได้ความนิยมชมชอบจากคน แค่ขอโอกาสที่จะแสดงตัวแค่นั้นเอง เหมือนที่พี่ฉอด (สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา) ให้โอกาสเราที่มันใหญ่มาก จากเหวมาสู่ยอดเขา แต่ในขณะเดียวกันเราก็ไม่เคยลืมความรู้สึกตอนที่อยู่ก้นเหว
ณ วันนี้ เงินทองก็มี ชื่อเสียงก็มา คิดจะทำศัลยกรรมมั้ย
- เคยคิดเหมือนกัน แม่บอกให้ไปเสริมจมูก ทำตาสองชั้น จะสวยปิ๊งเลย แต่เราไม่เอาสิ่งที่บอกกับแม่จนแม่เลิกถามแล้วคือ วันที่เราส่องกระจกเราจะได้นึกถึงพ่อเรา ฉันหน้าเหมือนพ่อฉัน อย่างน้อยที่สุดมันเป็นสิ่งเดียวที่ระลึกได้ว่า เราเป็นลูกเตี่ย เป็นลูกที่เตี่ยภาคภูมิใจว่าไม่สวยที่สุด ขี้เหร่ที่สุดในบรรดา 12 คน แต่ฉลาดที่สุดในผู้หญิง พระเจ้าคงให้มาในลักษณะที่เหมาะสมอยู่แล้ว เคยเห็นเพื่อนไปเปลี่ยนชื่อ เราว่าคงไม่มีชื่อไหนที่ประเสริฐเท่าชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้แล้วล่ะ แต่ถ้าเปลี่ยนแล้วยังนิสัยเหมือนเดิม ก็ไม่มีผลอะไร ในเมื่อมีคนให้โอกาสเรา เพราะเขารับที่เราหน้าอย่างนี้นะ มันเป็นโลโก้ไปแล้ว ดังนั้นไม่ต้องทำอะไรแล้ว คนดูคนฟังเขารักเราจากใจ เขาไม่ได้รักที่หน้าเรา เพราะหน้าเรามันไม่ได้น่ารักตั้งแต่เริ่มแล้ว
กับเรื่องความรักล่ะ
- ผู้ชายที่เราเคยเจอ ไม่ได้ขี้เล็บของพ่อเลย ผู้ชายคนไหนที่อยู่กับเราแล้วแตกนิสัยสาวออกมานิดนึง ไม่ต้องเป็นเกย์หรอก เลิกเลย ทุกอย่างในโลกนี้เริ่มต้นใหม่ได้เสมอ แฟนหามาแต่ไหนแต่ไรก็ไม่แมนเลย ผู้ชายสมัยนี้ชอบเอาความชอบมาปะปนความรับผิดชอบ บางคนพูดว่า ฉันอ้วนแก่ แหม!ฉันไปอ้วนบนหัวแกเหรอ ยิ่งพวกลงไม้ลงมือยิ่งไม่แมนหนัก เคยเจอฝรั่งซ้อมจนหน้าน่วมเลย แต่เราก็กลับมาคิดว่า มันคงเป็นกรรมที่เราต้องชดใช้ แต่เราไม่สงสารตัวเองนะ สงสารผู้ชายคนนั้นมากกว่า เพราะการที่ผู้ชายลุกขึ้นมาตีผู้หญิง เป็นการแสดงความอ่อนแอมาก ทุกครั้งที่ชีวิตผ่านจุดยาก ๆ มาก็จะคิดว่า หนี้ตรงนี้ใช้หมดแล้ว ชาตินี้ฉันเสียหมดหน้าตัก ชาติหน้าอย่ามาทวงนะ เวลาเราไปเจอผู้ชายไม่ดี แล้วเลิกกันไป เราถือว่าเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ กลายเป็นต้นกล้าที่เกิดใหม่และแข็งแรงกว่าเดิม หลายคนอาจมองว่าเราน่าสงสารที่ไม่มีใครรักจริง แต่เรามองว่า ฉันรักตัวเองพอแล้ว
รู้สึกยังไงที่ถูกมองว่า “อาภัพรัก”
- ถูกต้อง ตอนอายุ 17-18 ควรมีแฟนได้แล้ว แต่เราก็หน้าตาสู้คนรุ่นเดียวกันไม่ได้ แล้วเราก็เป็นคนปากกล้า รู้อยู่แล้วว่าพูดอะไรไปผู้ชายก็จะเอาเราไปว่า ถึงเราจะทำตัวน่ารัก เขาก็ได้แค่สมเพชเวทนา แต่ไม่ได้รัก ฉะนั้นต้องทำตัวเข้มแข็ง คนอย่างเราไม่รับคำว่า “น่าสงสาร” ไปตลอด เราจะลุกขึ้นมาสร้างความรู้สึกดี ๆ ให้กับตัวเอง เพื่อที่จะปกป้องสิ่งต่าง ๆ ถามว่าถ้าวันนี้เราจะเลือกผู้ชายสักคนมาทำผัว ไม่ต้องกระดิกนิ้วนะ แค่เอาเท้าข้างไม่ถนัดเขี่ยมาก็ได้แล้ว เพราะผู้ชายห่วย ๆ สมัยนี้มันเยอะ เกาะผู้หญิงกิน คนดี ๆ ก็มีคู่ไปหมดแล้ว พวกโสดก็เป็นตุ๊ดแต๋ว อย่าว่าก้าวร้าวเลยนะ แต่ละคนมีวิธีของตัวเอง ชีวิตที่เหลือเราก็อยากอยู่ในแบบของเรา
สาเหตุหลักที่ต้องเลิกกับแฟนเก่าเป็นเพราะอะไร
- เรามีความเป็นตัวเองมาก และไม่มีวันเปลี่ยน ถ้าเมื่อไหร่บอกให้เปลี่ยน ผู้ชายคนนั้นไปฆ่าตัวตายได้ เพราะพอปรับไปสักพักก็รู้ว่าไม่ใช่ เราก็จะถอยกลับ จนเขาคงรู้สึกว่ามีผู้หญิงคนอื่นยอมเปลี่ยนเพื่อเขา เขาก็ไป แต่เราจะเคลียร์ตั้งแต่แรกแล้วว่า ชีวิตเรา พ่อแม่ ญาติพี่น้องและเพื่อนมาก่อนนะต้องยกให้ และจะบอกเลยว่า ฉันไม่ได้ดีอะไร อยากเลิกก็เลิก เพราะไม่อยากให้ใครมาเสียเวลา แต่เวลามีคนโทรฯมาบอกว่าเจอแฟนของเราอยู่กับผู้หญิงอื่น เราก็ไม่สนใจ ไม่ได้กลัวเขานอกใจนะ แต่กลัวเสียหน้า จะบอกแฟนเลยว่า ทำอะไรหลบ ๆ หน่อย เพราะเพื่อนฉันหูตาจมูกไว ไม่ได้หึงนะ ไม่ได้รักเธอขนาดนั้น แต่ไว้หน้าฉันบ้าง ซึ่งมันตรงกับคำที่เตี่ยสอนว่า “เป็นผู้หญิงต้องแกล้งโง่ ตราบใดที่เรายังรักผู้ชายคนนี้อยู่” เรื่องเล็ก ๆ หลับหูหลับตาบ้างจะทำให้เราแฮปปี้ เราสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่า “ฉันจะไม่รักผู้ชายคนไหนมากกว่าตัวเอง” ทุกวันนี้เลยมองหารักแท้ คนที่รักในความเป็นตัวเรา
แต่คนส่วนใหญ่เชื่อว่า ชีวิตคู่คือการปรับตัวเข้าหากัน
- ใช่ แต่ความดีไม่ช่วยอะไร ความสวยมาก่อน ผู้ชายนะดีให้ตายมันก็ไม่มองหรอก เราเคยปัญญาอ่อนคิดจะเอาความดีชนะใจผู้ชาย เคยซื้อวิตามินอย่างดีให้ผู้ชาย เอาไปแขวนไว้หน้าบ้านเขา แล้วก็โทรฯไปบอกว่า “กินซะนะ แทนความเป็นห่วง” พอกินเสร็จมันก็ไปสะเทินน้ำสะเทินบกกับผู้หญิงอื่น จนรู้สึกว่าเป็นตัวเองดีที่สุดแล้ว ถ้าเราต้องทำอะไรออกไป แล้วรู้สึกนับถือตัวเองลดลง เราก็ไม่ทำ
แล้วคิดว่าชีวิตนี้จะมีคนรับตัวตนของเราได้มั้ย
- ไม่มี เราไม่เคยหลอกตัวเอง พอเราไม่โกหกตัวเองทุกอย่างก็จะปรับเลยนะ ความคิดหมุนไปแต่ละวันไม่เหมือนกัน แต่จะมีโครงการที่คิดไว้ว่า ถ้ามีก็คงไม่เอามาทำสามีนะ เอาไว้เป็นเพื่อน จะได้มีช่องว่างระหว่างกันเยอะ ๆ เพราะถ้ายิ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ช่องว่างระหว่างกันยิ่งตีบตัน ดังนั้นเลยคิดว่าอย่ามีดีกว่า ตอนนี้เราจะมองแค่ว่า เงินในบัญชีมีพอใช้ในอีก 10 ปีข้างหน้าหรือเปล่า ตอนนี้ยังมีแรงทำก็ต้องวางแผนชีวิตให้ดี เราเชื่อว่า เงินอาจจะซื้อรักแท้ไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ซื้ออะไรคล้าย ๆ รักแท้ได้ก็พอแล้ว ถึงเราจะปราศจากความรักในเชิงชู้สาว แต่เราก็ศรัทธาในรักแท้นะ และรู้สึกว่าแค่ช่วงเวลาหนึ่งที่เรามีโอกาสได้สัมผัสมันก็พอแล้ว
ถึงวันนี้เธอได้พิสูจน์ให้ทุก ๆ คนได้เห็นว่า ความสามารถที่เธอมีเป็นเสมือนใบเบิกทางที่ดี ทำให้เธอก้าว